×

Make America Rich Again กับ ‘ทรัมป์ทัวร์’ ในตะวันออกกลาง

18.05.2025
  • LOADING...
ทรัมป์จับมือกับผู้นำซาอุฯ เซ็นสัญญาซื้อขายอาวุธ

สหรัฐฯ มี ‘มหามิตรภาพ’ กับซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

 

ทรัมป์มีชื่อเสียงอย่างมากในการทำธุรกรรม เขาดำเนินกิจกรรมของรัฐบาลในแบบซีอีโอ และนี่เป็นวิธีการที่เขาใช้ดำเนินการทางการทูต อันเป็นวิธีการที่เขาทำให้สิ่งต่างๆ เสร็จสิ้นลงได้ [ตามที่ต้องการ]

Kimberly Halkett 

Aljazeera

 

ไม่มีใครเข้าใจหรอกว่า สิ่งนี้ [การยกเลิกแซงก์ชัน] มีความหมายอย่างไรกับชาวซีเรีย 25 ล้านคน ซึ่ง 90% ของคนเหล่านี้ มีชีวิตอยู่ต่ำกว่าเส้นฐานความยากจนมานานมากกว่า 50 ปี ภายใต้การปกครองของระบอบอัสซาด และอีกมากกว่า 14 ปีภายใต้สงคราม

Charles Lister

The Middle East Institute

 

ถ้าเราติดตามข่าวต่างประเทศทุกวันแล้วอาจจะต้องยอมรับว่าเราดูเหมือนจะอยู่ในภาวะ ‘จิตตก’ ทุกวัน เพราะถ้าตัดตอนเวลานับตั้งแต่การสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 20 มกราคม 2025 แล้ว ต้องยอมรับความจริงประการสำคัญว่า ‘ทรัมป์กำลังเปลี่ยนโลก’ ให้เป็นไปตามหลักนิยมทางความคิดแบบ ‘ทรัมป์นิยม’ (Trumpism) [ผู้สนใจแนวคิดของทรัมป์อาจดูบทความของผู้เขียนเรื่อง ทศทรัมป์ ในเว็บ THE STANDARD]

 

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการกลับเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งที่ทำเนียบขาวของทรัมป์นำความปั่นป่วนมาสู่เวทีโลกอย่างมาก ด้วยการดำเนินนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงในแบบที่เราไม่เคยเห็น เพราะไม่ใช่เป็นนโยบายในแบบ ‘อนุรักษนิยมกระแสหลัก’ ที่เราคุ้นเคย แต่เป็นกระแสขวาชุดใหม่ของโลกตะวันตก ที่มีลักษณะเป็น ‘ประชานิยมปีกขวา’ (Rightwing Populism) ที่กำลังขยายตัวในเวทีการเมืองตะวันตกและหลายประเทศในโลก

 

นโยบายของทรัมป์เริ่มด้วย 2 เรื่องสำคัญที่ท้าทาย คือ การประกาศยุติการสนับสนุนยูเครนในสงครามต่อต้านรัสเซีย และการประกาศกำแพงภาษีกับสินค้านำเข้าสหรัฐฯ ในอัตราที่เราคาดไม่ถึง…เพียงแค่ 2 เรื่องนี้ก็ทำให้โลกปั่นป่วนไปกับนโยบายของทรัมป์อย่างแน่นอน จนดูเหมือนหลังจากทรัมป์กลับสู่ทำเนียบขาวอย่างเป็นทางการแล้ว เราแทบจะต้องทนอยู่กับการเมืองโลกที่ผันผวนด้วยความหดหู่เป็นอย่างยิ่ง

 

กระนั้นทรัมป์ก็สร้างความประหลาดใจให้กับเราได้เสมอ…

 

‘ทรัมป์ทัวร์’ (Trump Tour) ตะวันออกกลางครั้งนี้ จึงเป็นปรากฏการณ์ที่ต้องจับตาดู ไม่ต่างอะไรกับปัญหาการประกาศกำแพงภาษีในสงครามการค้ากับจีน หรืออย่างน้อยเรากำลังเห็นการขับเคลื่อนนโยบาย ‘ประชานิยมทรัมป์’ ในตะวันออกกลางผ่านแนวคิด ‘Make America Great Again’

 

แต่การเดินทางครั้งนี้ดูจะเป็นไปในแบบ ‘Make America Rich Again’ มากกว่า เพราะผู้นำทำเนียบขาวกำลังทำตัวเป็น ‘เซลส์แมน’ ในการขายอาวุธและเทคโนโลยีทหารและอากาศยานใน 3 ตลาดใหญ่ คือ ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)

 

ข่าวดีจากกรุงริยาด

 

อยากจะขอเริ่มด้วยข่าวที่อาจจะไม่ใช่ข่าวใหญ่มากนัก เพราะข่าวใหญ่คงเป็นเรื่องการเดินทางของทรัมป์เยือนซาอุดีอาระเบีย แต่ต้องถือว่าเรื่องนี้เป็นข่าวที่น่าประหลาดใจ และถือเป็น ‘ข่าวบวก’ ชิ้นหนึ่งในท่ามกลางความผันผวนของกระแสการเมืองโลก

 

ในวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา เราพอจะได้ถอนหายใจกันสักนิดกับ ‘ข่าวดี’ ในทางมนุษยธรรม ที่ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่แทบไม่น่าเชื่อ เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์พบกับผู้นำใหม่ของซีเรีย คือ อาห์เหม็ด อัล-ชารา (Ahmed al-Shara) ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มฮายัต ทาห์รีร์ อัล-ชาม (Hayat Tahrir al-Sham: HTS) ที่มีอดีตถูกขึ้นทะเบียนประวัติโดยโลกตะวันตกเป็นผู้ก่อการร้าย

 

กลุ่ม HTS เคยเป็นพันธมิตรที่เข้าร่วมการต่อสู้กับกลุ่มอัลกออิดะห์ (AQ) ในสงครามที่ซีเรีย แต่เขาก็ยืนยันว่ากลุ่มได้แยกตัวออกมาเป็นอิสระและไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการของอัลกออิดะห์ตั้งแต่ปี 2016 แล้ว อีกทั้ง อัล-ชาราเองเคยถูกจับคุมขังในฐานะผู้ก่อการร้ายในเรือนจำที่อิรักเป็นเวลานานถึง 5 ปี และน่าสนใจมากว่า ‘ค่าหัว’ ของเขาในขณะนั้นสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งด้วยราคาค่าหัวในระดับนี้ต้องถือว่าเขาเป็นหนึ่งใน ‘ระดับนำ’ ของขบวนการก่อการร้ายในโลกอาหรับอย่างแน่นอน

 

อย่างไรก็ตาม ในสงครามกลางเมืองซีเรีย กลุ่มของเขาสามารถเปิดปฏิบัติการอย่างรวดเร็วดัง ‘สงครามสายฟ้าแลบ’ จนนำไปสู่การล้มลงของรัฐบาลเผด็จการที่สำคัญหนึ่งของโลกและของโลกอาหรับด้วย คือ การโค่นระบอบการปกครองของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ในซีเรียลงได้อย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นหนึ่งในความประหลาดใจของการเมืองโลกปัจจุบัน ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าระบอบเผด็จการซีเรียที่อยู่มาอย่างยาวนานจะถูกโค่นล้มลงได้อย่างรวดเร็ว แม้จะถูกต่อต้านมาก่อนหน้านี้หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีกลุ่มใดสามารถโค่นรัฐบาลอัสซาดลงได้

 

แต่ดังที่ทราบ ซีเรียตกอยู่ภายใต้ 4 เงื่อนไข คือ 1. การต่อสู้ทางการเมืองและ ‘อาหรับสปริง’ ที่ล้มเหลว ที่นำไปสู่สถานการณ์สงครามกลางเมือง 2. สำทับด้วยการเข้ามาของ ‘กลุ่มรัฐอิสลาม’ (Islamic State: IS) ที่ทำให้สงครามกลางเมืองระหว่าง ‘ประชาธิปไตย vs’ เผด็จการ’ มีความซับซ้อนมากขึ้นไปอีก อีกทั้ง 3. รัฐบาลอัสซาดยังลากรัสเซียเข้ามาเกี่ยวข้องในสงคราม และใช้กลไกทางทหารของรัสเซียในการปราบปรามกลุ่มกบฏที่เป็นฝ่ายต่อต้าน ประกอบกับ 4. รัฐบาลซีเรียที่เป็นเผด็จการและปราบปรามประชาชนอย่างมากนั้นถูกแซงชั้นจากโลกตะวันตก

 

หากหลังจากรัสเซียเข้าไปเปิด ‘ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร’ (Special Military Operation) ในยูเครนแล้ว โอกาสที่รัสเซียจะเข้ามาแบกรับสงครามในซีเรียได้ตามปกตินั้น จึงเป็นไปได้ยาก จนทำให้ในที่สุดแล้ว รัสเซียจำเป็นต้องทิ้งบทบาทของตนในสงครามกลางเมืองซีเรียไป และหันไปเน้นอยู่กับสงครามยูเครนเป็นหลัก อันทำให้อาหรับสปริงที่ต่อสู้กันมาตั้งแต่ครั้งปี 2011 เพิ่งถึงจุดยุติจริงๆ ในซีเรีย

 

สภาวะเช่นนี้ ทำให้ชีวิตคนในประเทศซีเรียประสบความยากลำบากอย่างมาก การประกาศยกเลิกการแซงก์ชันของสหรัฐฯ จึงมีผลต่อสถานการณ์ชีวิตประจำวันของผู้คนในซีเรียอย่างมาก ดังจะเห็นได้ว่า หลังการประกาศยกเลิกของทรัมป์เพียง 36 ชั่วโมง จะมีผลให้ราคาพลังงานลดลง 30% และจะตามมาด้วยการลดลงของราคาอาหาร พร้อมกันนั้น ใครที่ติดตามข่าว จะเห็นถึงการออกมาเฉลิมฉลองของผู้คนในซีเรียอย่างมาก…บนถนนในกรุงดามัสกัสเต็มไปด้วยภาพของความรื่นเริงใจอีกครั้ง หลังการล้มระบอบอัสซาด

 

การตัดสินใจของทรัมป์ที่จะไม่ยึดติดกับภูมิหลังของผู้นำใหม่ซีเรีย และยอมยกเลิกนโยบายแซงชั้นที่เคยกระทำต่อระบอบอัสซาดนั้น อาจต้องถือเป็นความสำเร็จในการเปิด ‘ภาพใหม่’ ของนโยบายสหรัฐฯ ต่อซีเรีย และต้องถือว่า นโยบายนี้เป็นผลในเชิงบวกอย่างมากกับชีวิตของประชาชนชาวซีเรีย ที่จะทำให้มีโอกาสทางเศรษฐกิจมากขึ้น และช่วยลดทอนแรงกดดันที่มีต่อรัฐบาลใหม่ของซีเรียอีกด้วย

 

อีกทั้ง น่าสนใจที่ทรัมป์กล่าวถึงอัล-ชารา ในการพบครั้งนี้ว่า “เขาเป็นคนดี เป็นคนหนุ่มที่มีเสน่ห์ [แม้จะมี] อดีตที่หนักหน่วงก็ตาม [แต่] เขาเป็นนักต่อสู้ …” ซึ่งความสำเร็จของนโยบายของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ คือ การเข้าไปแทนที่รัสเซีย ด้วยการดึงซีเรียให้มาอยู่ในค่ายทางการเมืองของสหรัฐฯ และลดทอนอิทธิพลของสายนิยมอิหร่านลง และอาจมีนัยถึง การดึงให้ซีเรียใหม่เข้ามาใกล้ชิดกับทางซาอุดีอาระเบียอีกด้วย

 

หากกล่าวในภาพรวมแล้ว ปรากฏการณ์นี้คือ ความสำเร็จของนโยบายในการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ ในซีเรีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีที่ตั้งในทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญในภูมิภาคตะวันออกกลาง

 

การขายที่ริยาด

 

ในอีกด้านของความเป็นประชานิยม การเดินทางเยือนตะวันออกกลางครั้งนี้ เป็นการเสนอ ‘ขายอาวุธและเทคโนโลยีทหาร’ ครั้งสำคัญ หากมองในมิติของการค้าแล้ว ต้องยอมรับการขายอาวุธของสหรัฐฯ ให้แก่รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ที่มีมูลค่าสูงถึง 1.42 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น เป็นความตกลงในการขายอาวุธที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ

 

ภาพการลงนามระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ของซาอุดีอาระเบียนั้น เป็นความสำเร็จที่สำคัญของทรัมป์ และเป็นสิ่งที่เขาสามารถนำไปบอกเล่าให้กับคนอเมริกันในบ้านถึงการขยายที่มีมูลค่าสูงอย่างมาก

 

การขายอาวุธและเทคโนโลยีทหารสมรรถนะสูงของสหรัฐฯ สำหรับซาอุดีอาระเบียในครั้งนี้ มี 5 ส่วนที่สำคัญ ได้แก่

 

  1. อุปกรณ์ที่เสริมสร้างความก้าวหน้าของกองทัพอากาศ และขีดความสามารถทางด้านอวกาศ
  2. จรวด (อาวุธปล่อย) และระบบป้องกันทางอากาศ
  3. การเสริมสร้างความมั่นคงทางทะเลและชายฝั่ง
  4. การสร้างความมั่นคงชายแดน และการพัฒนากำลังรบทางบก
  5. การยกระดับระบบสารสนเทศและการสื่อสาร

 

ผลตอบแทนของการขายอาวุธและเทคโนโลยีทหารเช่นนี้ เป็นคำตอบที่ชัดเจนถึง การกระชับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างสหรัฐฯ กับซาอุดีอาระเบีย ซึ่งก่อนหน้านี้มีปัญหาบางประการเข้ามาเป็นปัจจัยแทรกซ้อน และการประกาศการขายอาวุธครั้งนี้ เกิดขึ้นเพียง 1 สัปดาห์ หลังจากการประกาศความสำเร็จของการทำความตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับอังกฤษ ที่จะทำให้สินค้าของสหรัฐฯ เข้าสู่ตลาดอังกฤษได้มากขึ้น

 

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังประสบความสำเร็จในการทำให้ซาอุดีอาระเบียได้มาลงทุนในสหรัฐฯ ในอนาคต ที่มีมูลค่าสูงถึง 600 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และดังที่กล่าวแล้วว่า มูลค่าของการขายอาวุธในครั้งนี้ สูงอย่างมาก อีกทั้ง ซาอุดีอาระเบียเองก็อยู่ในฐานะของการเป็นผู้ซื้ออาวุธที่มีมูลค่าสูงสุดในโครงการ ‘ขายอุปกรณ์ทางทหารให้แก่รัฐบาลต่างประเทศ’ (Foreign Military Sales: FMS) โดยมีจำนวนเงินถึง 1.29 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

ภาวะเช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่า ทรัมป์ทัวร์ประสบความสำเร็จในการกลับเข้าไปยึดครองตลาดอาวุธของซาอุดีอาระเบียอีกครั้ง โดยไม่ปล่อยให้เกิดการบุกตลาดในโลกอาหรับโดยอาวุธจีน

 

ของขวัญที่กาตาร์

 

จากการสร้างความสำเร็จในการขายอาวุธครั้งเดียวที่มีมูลค่าสูงอย่างมากที่ซาอุดีอาระเบียแล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เดินทางต่อไปยังกาตาร์ ทรัมป์จะเข้าพบกับผู้นำกาตาร์คือ อีเมียร์ ชีค ทามิน บิน ฮาหมัด อัล ทานี (Emir Sheikh Tamin bin Hamad Al Thani) และเป็นการเยือนกาตาร์ของผู้นำสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ โดยข้อตกลงที่สำคัญคือ สายการบินกาตาร์คือ Qatar Airways ได้สั่งซื้อเครื่องบินจากบริษัท Boeing ของสหรัฐฯ จำนวนมากถึง 210 ลำ ได้แก่ Boeing 787 จำนวน 130 ลำ (Boeing 787 Dreamliner) Boeing 777X จำนวน 30 ลำ (Boeing 777X) และเครื่องบินขนส่งระยะไกลอีก 50 ลำ

 

การจัดซื้อเครื่องบินโดยสารชุดใหญ่ของกาตาร์ในครั้งนี้ มีมูลค่ามากถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นการสั่งซื้อครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท Boeing ซึ่งต้องยอมรับว่า เป็นความสำเร็จในนโยบายการขายสินค้าอเมริกันในต่างประเทศอีกเรื่องที่สำคัญของทรัมป์ เพราะเป็นการขายที่มีมูลค่าสูงอย่างมาก

 

นอกจากเครื่องบินโดยสารพลเรือนแล้ว ยังมีความตกลงในการขายอุปกรณ์ทางทหารของสหรัฐฯ ให้แก่กาตาร์อีกด้วย เช่น โดรน และเทคโนโลยีในการต่อต้านโดรน

 

แต่ปัญหาที่กาตาร์ดูจะมีประเด็นที่ล่อแหลมทางการเมืองกับทรัมป์ เมื่อผู้นำกาตาร์อยากแสดงน้ำใจในการให้ ‘ของขวัญพิเศษ’ กับผู้นำอเมริกาที่มีมูลค่าสูงถึง 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คือ เครื่องบินโดยสารอย่างสุดเลิศหรู (Boring 747-8) เสมือนกับการเป็น ‘พระราชวังเวหา’

 

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ในสมัยแรก ทรัมป์มีปัญหากับเครื่องบิน ‘Air Force 1’ ซึ่งเขาต้องการจะเปลี่ยนสีเครื่องบินของประธานาธิบดีให้เป็นสีแดง ที่ใกล้เคียงกับเครื่องบินส่วนตัวของเขา แต่ยังไม่สามารถทำได้ ผู้นำกาตาร์จึงอยากช่วยทรัมป์แก้ปัญหานี้ ด้วยการให้เครื่องบินลำใหม่เป็นของขวัญ โดยไม่ต้องไปใช้ลำเก่า

 

แน่นอนว่า ของขวัญสุดหรูชิ้นนี้จะเป็นข้อถกเถียงในการเมืองอเมริกันอย่างมาก (หรือมากๆ) ในเรื่องของความเหมาะสม แต่สำหรับผู้นำกาตาร์แล้ว เขายืนยันว่า เครื่องบินนี้ไม่ใช่ของขวัญส่วนตัว และเป็นการให้ระหว่างรัฐต่อรัฐ จึงไม่น่าจะเป็นปัญหาแต่อย่างใด ซึ่งมีแนวโน้มว่า ทรัมป์อาจจะรับเครื่องบินนี้ แต่ก็คงจะต้องอธิบายให้สาธารณชนในสังคมอเมริกัน ยอมรับต่อสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้

 

ทรัมป์โพสต์ยังยืนยันในเรื่องนี้ว่า เครื่องบินดังกล่าวเป็น ‘ของฟรี’ ที่จะนำมาใช้มาทดแทนต่อเครื่องบินของประธานาธิบดีลำเก่า ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีแล้ว และเป็นการ ‘โอนให้อย่างเปิดเผยและโปร่งใสอย่างมาก’ (very public and transparent transaction) แต่ก็มีปัญหาอย่างมากอีกส่วน คือ อุปกรณ์ต่างๆ ในฐานะของการที่อากาศยานลำนี้เป็น ‘กองบัญชาการลอยฟ้า’ ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้น จะสามารถโยกย้ายมาติดตั้งไว้ในเครื่องบินลำใหม่ได้จริงเพียงใด

 

ในความเป็นจริง บริษัท Boeing ต้องส่งมอบเครื่องบินโดยสารของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลำใหม่ (VC-25B) ให้แก่ทำเนียบขาวในปี 2024 แต่ยังไม่เสร็จ และขอขยับเลื่อนการส่งมอบไปเป็นในปี 2028 หรือ 2029 ดังนั้น หากทรัมป์ตัดสินใจใช้ ‘เครื่องบินของขวัญ’ เครื่องบินนี้อาจไม่สามารถติดตั้งอุปกรณ์ในการบัญชาการสงครามได้ทันกับการใช้จริงจริง

 

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์อาจจะตัดสินใจใช้ Air Force 1 โดยไม่มีอุปกรณ์เหล่านี้ และจะใช้เครื่องบินขับไล่บินคุ้มกันเครื่องบินของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

 

ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังได้พบกับทหารอเมริกันที่ประจำการอยู่ที่กาตาร์อีกด้วย พร้อมกับประกาศท่าทีในการปกป้องกาตาร์ มีข้อน่าสังเกตประการหนึ่งในการเดินทางเยือนกาตาร์คือ สถานีโทรทัศน์ Al Jazeera ได้ยุติการวิจารณ์ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นการชั่วคราว ซึ่งปกติแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่า Al Jazeera มีทาทีในการวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำสหรัฐฯ อย่างมาก หากแต่กลับนำเสนอบทบาทในเชิงบวกในฐานะของการเป็น “คนกลาง” ในการแก้ปัญหาสงครามในกาซา

 

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังประกาศที่กาตาร์ว่า สหรัฐฯ ต้องการเข้ามาจัดการแก้ปัญหากาซา และเขาจะเปลี่ยนกาซาให้เป็น ‘เขตเสรีภาพ’ ไม่ใช่เป็น ‘เขตสงคราม’ เช่นในปัจจุบัน หรือก่อนหน้านี้ เขาเคยประกาศว่า เขาจะทำให้กาซาเป็น ‘ริเวียร่าแห่งตะวันออกกลาง’ แต่ก็มีนัยว่า ชาวปาเลสไตน์จะต้องอพยพออกไปจากกาซา อันจะทำให้เกิดภาวะประวัติศาสตร์ซ้ำรอยด้วยการอพยพของชาวปาเลสไตน์ครั้งใหญ่เช่นที่เคยเกิดมาแล้วในปี 1948 ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า จะเป็นชนวนความขัดแย้งใหญ่ในอนาคต มากกว่าจะเป็นข้อเสนอที่ดีในการแก้ปัญหา

 

ทำยอดขายเพิ่มที่เอมิเรตส์

 

ในจุดสุดท้ายของ ‘ทรัมป์ทัวร์’ เขาเดินทางจากกาตาร์ไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งเป็นประเทศสุดท้ายของการเดินทางในครั้งนี้ และมีรายงานข่าวว่า ประเทศ UAE มีแผนที่ลงทุนทางด้าน AI ในสหรัฐฯ ราว 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเป็นตัวเลขการลงทุนครั้งใหญ่ในสหรัฐ และมีข้อตกลงในกรอบเวลา 1 ทศวรรษว่า UAE จะซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ เป็นจำนวน 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

แต่ดูจะมีเสียงคัดค้านจากวุฒิสมาชิกสภาของสหรัฐฯ ว่า การขายอาวุธให้กับกาตาร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่มีมูลค่าสูงถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผลประโยชน์ของบุคคลในครอบครัวทรัมป์

 

นอกจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศมีแผนที่จะพัฒนางานด้านพลังงานร่วมกันจากปีปัจจุบันจนถึงปี 2035 โดยโครงการนี้จะมีมูลค่า 4.4 แสนดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกันนี้ UAE จะซื้อเครื่องบิน Boeing เพิ่มเติมสำหรับสายการบิน Etihad เป็นจำนวน 28 ลำด้วย 

 

กลับบ้านด้วยความสำเร็จ

 

ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้ระยะเวลา 4 วัน ในการเดินทางใน 3 ประเทศหลักของตะวันออกกลาง คือ ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเขากำลังสร้างประวัติศาสตร์ของความสำเร็จในการขายอย่างคาดไม่ถึง

 

เมื่อกลับถึงสหรัฐฯ ทรัมป์จะ ‘คุยเสียงดัง’ ได้ว่า เขาได้ดีล 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐที่ซาอุดีอาระเบีย…ได้ 2.43 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐที่กาตาร์…และได้ใบสั่งซื้อจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งจะตอกย้ำกับคำขวัญของเขาในอีกแบบคือ ‘Make America Rich Again’ โดยเฉพาะการนำใบสั่งสินค้ากลับมาสร้างงานในโรงงานอุตสาหกรรมในบ้าน

 

ความสำเร็จของทรัมป์ทัวร์ด้วยตัวเลขของการขายสินค้าอเมริกันในตะวันออกกลางครั้งนี้ จะทำให้เขาสามารถกล่าวได้เต็มที่ว่า เขาได้ทำตามสัญญาที่จะนำ ‘ยุคทอง’ กลับสู่สังคมอเมริกัน และเขาได้ทำตามสัญญาแล้ว ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวเป็นสิ่งที่เขาต้องการอย่างมากในเงื่อนไขการเมืองปัจจุบัน เพราะสถานการณ์ในบ้านของสหรัฐฯ คือ นโยบายกำแพงภาษีของเขากำลังถูกขับเคลื่อน แต่ราคาสินค้าก็กำลังขยับขึ้นไปด้วย แม้เขาสัญญาที่จะทำให้ราคาสินค้าลดลงก็ตาม แต่ก็ยังไม่เกิดผลเป็นรูปธรรมเท่าใดนัก

 

ฉะนั้น รูปธรรมของความสำเร็จของรายการทัวร์จากตะวันออกกลาง จะเป็น ‘ตัวช่วย’ ที่สำคัญที่จะใช้ในการต่อสู้กับปัญหาค่าครองชีพในสังคมอย่างแน่นอน และเป็นสัญญาณของ Make America Great Again ตามที่ทรัมป์ได้นำเสนอกับชาวอเมริกันมาโดยตลอด

 

ทั้งหลายทั้งปวงจาก 4 วันของการเดินทาง ความสำเร็จนี้จะเป็น ‘พาดหัวข่าวสำคัญ’ ในสังคมอเมริกัน…ทรัมป์สามารถคุยถึงความสำเร็จนี้ ไปได้อีกหลายวันอย่างแน่นอน!

 

ภาพ: Win McNamee / Getty Images

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising