หากการทลายกำแพงเบอร์ลินในปี 1989 เป็นเหตุการณ์สัญลักษณ์แห่งสันติภาพและความปรองดองของชาวเยอรมันในช่วงปลายยุคสงครามเย็นแล้ว การพบกันครั้งแรกระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือที่ประเทศสิงคโปร์ซึ่งเปรียบเหมือนการทลายกำแพงทางจิตวิทยาระหว่างสองประเทศ ก็อาจเป็นสัญลักษณ์แห่งความปรองดองและสันติภาพถาวรบนคาบสมุทรเกาหลีได้เช่นกัน หากสองประเทศสามารถสานต่อเจตนารมณ์ในการพัฒนาความสัมพันธ์จากจุดเริ่มต้นของซัมมิตครั้งหยุดโลกในวันนี้
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และคิมจองอึนพบปะกันครั้งแรกที่โรงแรมคาเปลลาบนเกาะเซนโตซา สถานที่จัดซัมมิต เมื่อเวลา 9.05 น. ตามเวลาท้องถิ่น ท่ามกลางการจับตามองของผู้คนและสื่อมวลชนทั่วโลก ทั้งคู่ได้จับมือทักทายกัน ก่อนจะเดินไปตามระเบียงของโรงแรมเพื่อเข้าสู่ห้องประชุม
คิมจองอึนกล่าวขณะเดินกับทรัมป์ว่า ผู้คนทั่วโลกอาจไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์วันนี้
“คนจำนวนมากในโลกนี้คิดว่านี่เป็นเพียงจินตนาการจากหนังไซไฟ” คิมบอกกับทรัมป์โดยมีล่ามแปลสด
สำหรับการประชุมระหว่างสองผู้นำแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกเป็นการหารือแบบตัวต่อตัวโดยมีล่ามฝ่ายละ 1 คน ใช้เวลาทั้งสิ้น 48 นาที โดยทรัมป์กล่าวก่อนเริ่มประชุมว่าตนรู้สึกยอดเยี่ยมมากที่กำลังจะเริ่มการหารือครั้งยิ่งใหญ่ และคิดว่าซัมมิตจะประสบความสำเร็จด้วยดี นอกจากนี้เขายังเผยว่ารู้สึกเป็นเกียรติและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคิมจองอึน
ขณะที่คิมกล่าวว่า มันไม่ง่ายเลยที่จะมาถึงจุดนี้ เพราะอคติและแนวทางปฏิบัติในอดีตได้สร้างอุปสรรค แต่เราก็สามารถฟันฝ่าสิ่งเหล่านั้นกันมาได้
“แน่นอนว่ามีความท้าทายรออยู่ข้างหน้า แต่ผมก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน” คิมกล่าว
หลังเสร็จสิ้นการหารือในช่วงแรก ทรัมป์และคิมได้นำคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้าประชุมกันต่อแบบหันหน้าเข้าหากันบนโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยฝ่ายสหรัฐฯ มี จอห์น เคลลี เสนาธิการทำเนียบขาว, ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ และจอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ
ขณะที่ฝ่ายเกาหลีเหนือมี พล.อ. คิมยองชอล รองประธานคณะกรรมการการทหารแห่งพรรคแรงงานเกาหลีเหนือและมือขวาของคิมจองอึน รีซูยอง รองประธานคณะกรรมการกลางแห่งพรรคแรงงาน และรียองโฮ รัฐมนตรีต่างประเทศ
สำหรับการประชุมช่วงที่ 2 ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงและสิ้นสุดลงในเวลาประมาณ 11.30 น. จากนั้นทรัมป์และคิมได้รับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน (Working Lunch)
หลังรับประทานอาหารเสร็จ ผู้นำทั้งสองได้เดินไปคุยไปในบริเวณสนามหญ้าของโรงแรม โดยทรัมป์ได้เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า การประชุมซัมมิตครั้งนี้มีความคืบหน้าอย่างมาก และให้ผลลัพธ์ดีกว่าที่ทุกฝ่ายคาดหวังไว้
จากนั้นในช่วงบ่ายก็มาถึงช่วงไฮไลต์สำคัญของซัมมิตครั้งนี้ เมื่อทรัมป์และคิมจองอึนได้จรดปากกาลงนามในเอกสารความตกลงฉบับครอบคลุม (Comprehensive Document) ระหว่างสองประเทศ โดยผู้นำทั้งสองต่างเห็นพ้องที่จะสร้างความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีรูปแบบใหม่ รวมถึงผลักดันสันติภาพให้เกิดอย่างยั่งยืนและมั่นคง และทำงานร่วมกันเพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรอย่างสมบูรณ์ ภายใต้ ‘ปฏิญญาปันมุนจอมว่าด้วยสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และเอกภาพบนคาบสมุทรเกาหลี’ ที่ผู้นำเกาหลีเหนือจัดทำร่วมกับผู้นำเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา นอกจากนี้เกาหลีเหนือยังรับปากว่าจะกู้ศพทหารและเชลยศึกสหรัฐฯ ที่เสียชีวิตในสงครามเกาหลีระหว่างปี 1950-1953 กลับคืนไปให้สหรัฐฯ
ขณะที่คิมกล่าวว่าเกาหลีเหนือยินดีที่จะละทิ้งอดีตทั้งหมดไว้เบื้องหลัง และพร้อมปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์เพื่อยุติปัญหาขัดแย้งกับสหรัฐฯ
ในระหว่างการตอบคำถามสื่อมวลชนหลังพิธีลงนาม ทรัมป์ระบุว่า “พวกเราต่างเรียนรู้ประเทศของกันและกันมากขึ้น ผมรู้ว่าเขา (คิมจองอึน) เป็นชายที่มีความสามารถ และเขาก็รักประเทศของเขาอย่างมาก เราจะพบกันอีกหลายๆ ครั้งในอนาคต”
พร้อมกันนี้ทรัมป์ยังยืนยันด้วยว่ากระบวนการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีจะเริ่มต้นขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว
จากนั้นทรัมป์และคิมได้จับมือและถ่ายภาพร่วมกันอีกครั้ง ก่อนจะแยกเดินทางกลับที่พักของตน
สำหรับรายละเอียดของการประชุมครั้งนี้ ทรัมป์ได้เปิดเผยในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในช่วงเย็นวันเดียวกัน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นประเด็นสำคัญๆ ได้ดังนี้
สหรัฐฯ รับปากหยุดซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้
แม้ทรัมป์ยืนยันในระหว่างแถลงข่าวว่าสหรัฐฯ จะไม่ลดขีดความสามารถทางทหารในภูมิภาคเพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงให้แก่เกาหลีเหนือ แต่สหรัฐฯ จะยุติการซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้ เนื่องจากเกาหลีเหนือมองว่าเป็นการยั่วยุ
ทรัมป์ให้เหตุผลด้วยว่าการซ้อมรบแต่ละครั้งใช้งบประมาณมหาศาล แม้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ก็ตาม
“เรากำลังเจรจาทำข้อตกลงที่ซับซ้อนมาก (กับเกาหลีเหนือ) ผมจึงเห็นว่ามันอาจเป็นการไม่เหมาะสม หากเราจะจัดการซ้อมรบต่อไป” ทรัมป์กล่าว
อย่างไรก็ดี ทรัมป์ระบุว่าการยกเลิกซ้อมรบขึ้นอยู่กับความเป็นไปของการเจรจากับเกาหลีเหนือในอนาคตด้วย หากทั้งหมดไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ สหรัฐฯ ก็อาจพิจารณาจัดการซ้อมรบกับเกาหลีใต้ใหม่อีกครั้ง
ประเด็นสิทธิมนุษยชน
ถึงแม้จะมีกระแสข่าวก่อนหน้าซัมมิตว่า ทรัมป์จะไม่หยิบยกประเด็นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเกาหลีเหนือขึ้นมาหารือในระหว่างการประชุมกับคิมจองอึนวันนี้ เนื่องจากเห็นว่าประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางความสำเร็จของซัมมิตครั้งนี้ แต่ทรัมป์ยืนยันว่าสองฝ่ายมีการพูดคุยถึงเรื่องนี้ ทว่าไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดมากนัก แต่เขาระบุว่าปัญหาสิทธิมนุษยชนจะเป็นวาระหลักในการประชุมครั้งถัดๆ ไปอย่างแน่นอน
กำหนดนัดหมายใหม่ระหว่างสองผู้นำ
อีกหนึ่งคำถามที่อยู่ในความสนใจของสื่อมวลชนก็คือ ทรัมป์กับคิมจะจัดซัมมิตอีกครั้งเมื่อไร ซึ่งทรัมป์ตอบว่ายังไม่มีกำหนดการที่แน่นอน แต่เขาคิดว่าสองฝ่ายควรจัดการประชุมสุดยอดอีกสักครั้ง รวมถึงการประชุมแลกเปลี่ยนระหว่างเจ้าหน้าที่ของสองฝ่าย
คิมรับคำเชิญเยือนทำเนียบขาว
ในระหว่างการหารือ ผู้นำสหรัฐฯ ได้เชิญคิมจองอึนไปเยือนทำเนียบขาวด้วย ซึ่งคิมก็ตอบรับคำเชิญด้วยดี แต่ทรัมป์เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
ขณะเดียวกันทรัมป์ก็พิจารณาเดินทางเยือนกรุงเปียงยางของเกาหลีเหนือด้วยหากถึงเวลาที่เหมาะสมเช่นกัน
เกาหลีเหนือเตรียมทำลายฐานทดสอบนิวเคลียร์เพิ่ม
สำหรับขอบเขตการปลดอาวุธนิวเคลียร์ถูกบรรจุเป็นวาระหลักของซัมมิตครั้งนี้ เกาหลีเหนือรับปากว่าจะทำลายฐานทดสอบนิวเคลียร์ที่มีอยู่ในประเทศทั้งหมด และจะเริ่มดำเนินการในเร็วๆ นี้
ใครออกค่าใช้จ่ายช่วยเกาหลีเหนือปลดอาวุธนิวเคลียร์
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเกาหลีเหนือจะสามารถแบกรับต้นทุนในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ได้หรือไม่ หากเกาหลีเหนือยังคงถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ ผู้นำสหรัฐฯ ตอบว่า สหรัฐฯ จะไม่ให้ความช่วยเหลือในเรื่องนี้ แต่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นพร้อมให้ความสนับสนุนในด้านการเงินกับเกาหลีเหนือ
ยกเลิกคว่ำบาตรแน่ หากนิวเคลียร์ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
ทรัมป์เปิดเผยว่าเขาจะผลักดันเกาหลีเหนือให้เร่งปลดอาวุธนิวเคลียร์โดยเร็วที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ แต่ยอมรับว่าเรื่องนี้อาจต้องใช้เวลานาน
“ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว คุณต้องรอช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่เมื่อใดที่คุณเริ่มกระบวนการ นั่นก็หมายความว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดี” ทรัมป์สำทับ
เขายังกล่าวด้วยว่า เกาหลีเหนือจะเริ่มกระบวนการปลดอาวุธนิวเคลียร์ในเร็วๆ นี้แน่ ขณะที่สหรัฐฯ จะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรก็ต่อเมื่อนิวเคลียร์ไม่ใช่ปัจจัยให้กังวลอีกต่อไป
คิมจองอึนจะทำตามสัญญาหรือไม่
แม้ว่าหลายฝ่ายจะวิตกว่า คิมจองอึนอาจไม่ทำตามคำมั่นสัญญาในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่ทรัมป์เชื่อมั่นว่าคิมเป็นคนรักษาคำพูด
นอกจากนี้ทรัมป์ยังยอมรับว่าเขาอาจมีความคิดที่ผิดๆ เกี่ยวกับตัวคิมจองอึนในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เขาได้เปลี่ยนความคิดนั้นแล้ว
ทรัมป์ยังตอกกลับกระแสวิจารณ์ที่ว่าสหรัฐฯ ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันจากซัมมิตครั้งนี้ โดยย้ำว่าการประชุมครั้งนี้มอบประโยชน์ต่อทั้งสหรัฐฯ และเกาหลีเหนืออย่างแน่นอน
“มีแต่คนที่ไม่ชอบทรัมป์เท่านั้นที่จะบอกว่าสหรัฐฯ ไม่ได้อะไรเป็นการแลกเปลี่ยน” ทรัมป์กล่าวโดยอ้างความสำเร็จของการที่เกาหลีเหนือรับปากปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ รวมถึงการปล่อยตัวนักโทษชาวอเมริกัน 3 คนที่ถูกคุมขังในเกาหลีเหนือ
“ผมไว้ใจคิมจองอึน” ทรัมป์ย้ำ
อาจกล่าวได้ว่าซัมมิตระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ และคิมจองอึนถือเป็นเวทีสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาต่อยอดความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า สหรัฐฯ และเกาหลีเหนือจะสามารถขจัดปัญหาความขัดแย้งจนหมดสิ้น เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ยังเป็นอุปสรรคขัดขวางและต้องใช้เวลาอีกนานในการเจรจาให้ลุล่วง ทั้งปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญ รวมถึงการทำตามสัญญาในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่การผลัดเปลี่ยนรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐฯ ก็เป็นอีกปัจจัยที่สร้างความไม่แน่นอนในนโยบายที่มีต่อเกาหลีเหนือ
ดังนั้นจึงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือหลังจากนี้จะเป็นเช่นไร แต่เชื่อว่าหลายคนคงตั้งความหวังว่าสันติภาพกำลังจะเกิดขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลีอย่างถาวรในท้ายที่สุด เพราะที่ผ่านมาก็อาจมีคนไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนจับมือกับคิมจองอึนและนั่งลงคุยกัน
อ้างอิง: