×

สันติภาพยูเครน-ขึ้นภาษี-โจมตีไบเดน ส่องประเด็นร้อน ทรัมป์ขึ้นแถลงต่อสภาคองเกรสครั้งแรก

05.03.2025
  • LOADING...
ทรัมป์ แถลง

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ขึ้นกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมร่วมของสภาคองเกรสครั้งแรกหลังหวนคืนทำเนียบขาวในฐานะผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ซึ่งถือเป็นการกล่าวถ้อยแถลงที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันสมัยใหม่ด้วยระยะเวลา 1 ชั่วโมง 39 นาที 

 

ทรัมป์เริ่มกล่าวถ้อยแถลงด้วยประโยคที่ว่า “สหรัฐอเมริกากลับมาแล้ว” โดยเขายังได้เน้นย้ำว่า รัฐบาลทรัมป์ 2.0 ที่เพิ่งเริ่มทำงานได้เพียง 43 วัน บรรลุผลสำเร็จมากกว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ที่บริหารประเทศมานาน 4 ปี หรือ 8 ปีเสียอีก และนี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น

 

นี่คือ 5 ประเด็นสำคัญจากคำกล่าวถ้อยแถลงของทรัมป์

 

  1. ทรัมป์ส่งสัญญาณรีเซ็ตความสัมพันธ์ใหม่กับยูเครน 

 

ทรัมป์ระบุว่า ตัวเขากำลังทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ผ่านมาสหรัฐฯ ส่งมอบความช่วยเหลือทางด้านการทหารให้กับยูเครนมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ แต่ยูเครนก็ยังไม่มีความมั่นคง ไม่มีอะไรเลย และที่สำคัญสหรัฐฯ ยังส่งมอบความช่วยเหลือดังกล่าวมากกว่าบรรดาประเทศในยุโรปที่ควรจะออกแรงสนับสนุนเพื่อนร่วมภูมิภาคให้มากกว่านี้ โดยทรัมป์เสนอให้ยุโรปแบ่งเบาภาระดังกล่าวในจำนวนที่เท่าเทียมกัน

 

ในระหว่างที่กล่าวถ้อยแถลง ทรัมป์เผยว่า โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ได้ส่งจดหมายถึงทรัมป์ พร้อมระบุว่า ยูเครนพร้อมแล้วที่จะเจรจาโดยเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืน ส่วนประเด็นเรื่องความร่วมมือดีลแร่หายาก เซเลนสกีระบุว่า ยูเครนพร้อมที่จะลงนามปิดดีลทุกเมื่อในเวลาที่สหรัฐฯ สะดวก 

 

นอกจากนี้ทรัมป์ยังระบุว่า ในเวลาเดียวกันนี้สหรัฐฯ ก็ได้หารืออย่างจริงจังกับรัสเซีย และได้รับสัญญาณที่ชัดเจนว่าพวกเขาก็พร้อมสำหรับสันติภาพเช่นเดียวกัน

 

  1. ทรัมป์เดินหน้านำตัวประกันในฉนวนกาซากลับบ้าน

 

ทรัมป์ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเดินหน้านำตัวประกันที่ถูกกลุ่มฮามาสควบคุมตัวเอาไว้ในฉนวนกาซา ตั้งแต่เหตุโจมตีอิสราเอลครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 กลับบ้านให้ได้ พร้อมกล่าวชื่นชมผลงานตัวเองในรัฐบาลทรัมป์ 1.0 ที่ประสบผลสำเร็จในการผลักดัน ‘ข้อตกลงอับราฮัม’ (Abraham Accords) ซึ่งเป็นความพยายามที่จะยุติความขัดแย้งในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและบรรดารัฐอาหรับ เพื่อให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืนและอนาคตที่รุ่งเรืองภายในภูมิภาค โดยทรัมป์หวังว่ารัฐบาลทรัมป์ 2.0 จะช่วยทำให้บรรลุข้อตกลงเพิ่มเติมได้

 

ทรัมป์กล่าวว่ามีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในตะวันออกกลาง แต่ผู้คนในช่วงเวลานี้มักจะไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่นมากนั้น เนื่องจากโมเมนตัมช่วงนี้กลับมาโฟกัสที่ยูเครนและรัสเซีย ซึ่งจริงๆ แล้วสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางก็ยังอันตรายและน่าเป็นกังวลอยู่ในขณะนี้

 

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่ได้กล่าวถึงผลกระทบจากสงครามและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาจำนวนหลายล้านชีวิต รวมถึงแผนที่จะยึดครองกาซา ขณะกล่าวถ้อยแถลงในครั้งนี้แต่อย่างใด 

 

  1. ทรัมป์ยืนยันใช้นโยบายภาษีศุลกากร แม้ตลาดปั่นป่วน

 

ทรัมป์ระบุว่า เขาจะยังคงเดินหน้าใช้มาตรการด้านภาษีศุลกากรต่อไป เนื่องจากมองว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยทำให้สหรัฐฯ กลับมามั่งคั่งได้อีกครั้ง พร้อมทั้งจะช่วยสร้าง ‘การค้าที่เป็นธรรม’ ระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าอื่นๆ รวมถึงสนับสนุนอุตสาหกรรมอเมริกันต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมการเกษตรและอุตสาหกรรมเหล็กกล้า โดยยื่นข้อเสนอให้คู่ค้าทั้งหลายย้ายฐานการผลิตมายังสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงการเผชิญมาตรการขึ้นภาษีดังกล่าว

 

ทรัมป์ยังกล่าวอีกว่า มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ในอัตราที่เท่าเทียมกันยังเป็นหนึ่งทางเลือกบนโต๊ะพิจารณา พร้อมทั้งเล็งเป้าไปยังประเทศอื่นๆ ที่เคยใช้มาตรการภาษีศุลกากรต่อสหรัฐฯ ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เช่น อินเดียที่เก็บภาษีศุลกากรสูงกว่า 100%, เกาหลีใต้ และบราซิล ซึ่งทรัมป์ระบุว่า ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่สหรัฐฯ จะตอบโต้มาตรการภาษีเหล่านั้น แม้จะทำให้ตลาดปั่นป่วนและเกิดผลกระทบระยะสั้นต่อพลเมืองสหรัฐฯ ก็ตาม

 

ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ เพิ่งปรับขึ้นภาษีศุลกากรต่อสินค้าที่นำเข้ามาจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% และปรับขึ้นภาษีศุลกากรต่อสินค้าจีนอีก 10% (รวมเป็น 20%) หลังจากความพยายามของทั้งสามประเทศที่จะช่วยสหรัฐฯ แก้ไขปัญหาการลักลอบค้ายาเสพติดอย่างเฟนทานิล และปัญหาลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายยังไม่เป็นที่น่าพอใจในสายตาของทรัมป์มากนัก โดยทั้งแคนาดา เม็กซิโกและจีน ต่างประกาศเตรียมดำเนินมาตรการโต้กลับ อย่างไรก็ตาม ทรัมป์อาจปรับเปลี่ยนมาตรการภาษีต่อแคนาดาและเม็กซิโกอีกครั้งเร็วๆ นี้ หลังพูดคุยหารือระหว่างกัน

 

  1. ทรัมป์เน้นย้ำถึงความพยายามของ อีลอน มัสก์ และ DOGE ในการปฏิรูปสหรัฐฯ 

 

ทรัมป์กล่าวชื่นชม อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีและซีอีโอของ SpaceX ผู้ซึ่งกำกับดูแล ‘หน่วยงานดูแลประสิทธิภาพรัฐบาล’ (DOGE) ที่ทำงานอย่างแข็งขัน เพื่อปฏิรูประบบราชการและหน่วยงานของรัฐให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

 

โดยทรัมป์ใช้เวลานานหลายนาทีรายงานถึงสิ่งที่มัสก์และ DOGE ได้ทำในช่วงตลอดระยะเวลากว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการตัดงบประมาณและเลิกจ้างบุคลากรของรัฐที่มัสก์มองว่าไม่มีประสิทธิภาพและไม่สอดคล้องกับแนวทางอย่าง America First หรือ Make America Great Again

 

แม้ว่าแนวทางของมัสก์จะได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากภาคส่วนต่างๆ แต่ทรัมป์ก็ส่งสัญญาณสนับสนุนการทำงานของมัสก์อย่างเต็มที่ พร้อมส่งคำเตือนถึงพนักงานของรัฐบาลกลางและหน่วยงานของรัฐที่ขัดขืนต่อแนวทางของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ จะถูกปลดออกจากตำแหน่งในทันที และระบุว่า รัฐบาลทรัมป์ 2.0 จะนำอำนาจกลับคืนมาจากระบบราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพและไร้ความรับผิดชอบ และจะฟื้นฟูประชาธิปไตยที่แท้จริงให้กับสหรัฐฯ อีกครั้ง

 

  1. ทรัมป์โจมตี โจ ไบเดน พร้อมย้ำฉายา ‘ประธานาธิบดีที่ห่วยที่สุดของสหรัฐฯ’ 

 

แม้ว่าทรัมป์จะชนะไบเดนไปแล้วในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งล่าสุด แต่ทรัมป์ก็ยังโจมตีไบเดนอยู่บ่อยครั้ง พร้อมย้ำว่าไบเดนคือประธานาธิบดีที่ห่วยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ โดยทรัมป์ยังตำหนิรัฐบาลไบเดนว่าได้สร้างปัญหาไว้ให้รัฐบาลของเขาต้องแก้ปัญหาให้มากมายทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น ปัญหาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างไข่ และราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น, ปัญหาผู้อพยพ และปัญหาอาชญากรรมข้ามพรมแดน พร้อมกล่าวหาว่าไบเดนแสดงความอ่อนแอต่อจีน 

 

ภาพรวมของการกล่าวถ้อยแถลงของทรัมป์ในครั้งนี้เน้นย้ำไปที่ความสำเร็จของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา แทนการเสนอแนะแนวทางใหม่ของรัฐบาล แม้ทรัมป์จะเผชิญกับการประท้วงของสมาชิกสภาคองเกรสจากพรรคเดโมแครต แต่เขาก็ยังเดินหน้าสนับสนุนแนวทางการทำงานของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ต่อไป โดยเฉพาะการปฏิรูปภาครัฐ การเพิ่มภาษีศุลกากร และการช่วยยุติสงครามและความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของสหรัฐฯ 

 

ภาพ: Getty Images

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising