สถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและเวเนซุเอลากำลังเข้าสู่จุดเดือด หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เซ็นคำสั่งปิดน่านฟ้าของเวเนซุเอลาอย่างกะทันหันเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (29 พฤศจิกายน) โดยที่ไม่มีการชี้แจงเหตุผลที่ชัดเจน ยิ่งทำให้ความตึงเครียดที่คุกรุ่นอยู่แล้วลุกโชนขึ้นไปอีก
ขณะที่อีกฟาก เวเนซุเอลา ภายใต้การนำของประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร ก็ตอบโต้ทันควัน โดยประณามว่าสหรัฐฯ เป็น “ภัยคุกคามจากลัทธิอาณานิคม” ในละตินอเมริกา มาดูโรเคยเตือนก่อนหน้านี้แล้วว่า สหรัฐฯ ต่างหากที่เป็นฝ่ายสร้างเรื่องเท็จเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการเปิดปฏิบัติการแทรกแซงทางทหารในเวเนซุเอลา ท่ามกลางความหวาดกลัวของประชาชนหลายล้านคนที่รู้สึกว่าชะตากรรมของพวกเขากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย
ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้คืออะไร ทรัมป์จะบุกเวเนซุเอลาหลังปิดน่านฟ้าหรือไม่ ติดตามได้ในบทความนี้
- ปมความขัดแย้งมาจากอะไร
ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ ยุคทรัมป์ กับเวเนซุเอลา ได้ทวีความตึงเครียดขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังผู้นำสหรัฐฯ อนุมัติการส่งกำลังทหารเข้าไปในเวเนซุเอลา และมีการโจมตีทางอากาศเกิดขึ้นหลายครั้ง จนหลายฝ่ายกังวลว่าสองประเทศอาจกำลังเข้าสู่ความขัดแย้งโดยตรงในไม่ช้า
หากย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งนี้ จะพบว่ายาเสพติดคือหัวข้อหลักที่สหรัฐฯ นำมาใช้กล่าวอ้างอยู่บ่อยครั้ง โดยทรัมป์ประกาศกร้าวมาตั้งแต่ช่วงหาเสียงในปี 2024 ว่า หากได้เป็นผู้นำอีกครั้ง เขาจะกวาดล้างยาเสพติดที่ลักลอบเข้าประเทศให้สิ้นซาก โดยเฉพาะเฟนทานิล (fentanyl) ที่สร้างวิกฤตครั้งใหญ่ และให้คำมั่นว่าจะจัดการขบวนการค้ายาเสพติดจากต่างแดน
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังประกาศด้วยว่าประเทศของตนไม่ยอมรับมาดูโรในฐานะผู้นำที่ชอบด้วยกฎหมายของเวเนซุเอลา และในเดือนมีนาคม 2025 ทรัมป์ได้ลงนามกำหนดให้องค์กรอาชญากรรม Tren de Aragua เป็นองค์กรก่อการร้ายระดับโลก
ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยังกล่าวหาอย่างเปิดเผยว่า มาดูโรมีบทบาทสำคัญในองค์กรอาชญากรรม Cartel de los Soles และใช้ขบวนการค้ายาเสพติดเป็นเสมือนอาวุธโจมตีสหรัฐฯ จนนำไปสู่การเพิ่มความกดดันอย่างถึงขีดสุดในเดือนสิงหาคม 2025 เมื่อกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มรางวัลสำหรับผู้ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการจับกุมมาดูโรอีก 2 เท่า จากเดิม 25 ล้านดอลลาร์ เป็น 50 ล้านดอลลาร์ โดยอ้างว่าผู้นำเวเนซุเอลามีส่วนพัวพันกับแก๊งอาชญากรรมและการขนส่งโคเคนข้ามชาติจำนวนมหาศาล
อย่างไรก็ตาม มาดูโรยืนกรานว่าข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ ไม่เป็นความจริง แต่เป็นเพราะสหรัฐฯ เองต่างหากที่พยายามหาข้ออ้างในการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เพื่อหวังเข้าควบคุมทรัพยากรมหาศาลของเวเนซุเอลา
- สถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไร
สำนักข่าว Al Jazeera รายงานว่า ตลอดช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เวเนซุเอลามีการฝึกซ้อมรบตามปกติ และได้ประกาศระดมกำลังครั้งใหญ่เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น
ตัดภาพมาทางฝั่งสหรัฐฯ ก็ได้มีการส่งกำลังทหารเรือจำนวนมากไปยังแถบทะเลแคริบเบียนตอนใต้ (นับตั้งแต่เริ่มการโจมตีเรือขนยาเสพติดหลายครั้งเมื่อต้นเดือนกันยายน 2025) แม้สหรัฐฯ จะยังไม่ได้แสดงหลักฐานที่แน่ชัดว่าเรือเหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดหรือไม่ แต่มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 83 รายจากการโจมตีเหล่านั้น
ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้ยกระดับแรงกดดันต่อมาดูโร โดยกำหนดให้กลุ่ม Cartel de los Soles ของเวเนซุเอลาเป็นองค์กรก่อการร้ายต่างชาติ โดยระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด
แต่ถึงกระนั้น นักวิเคราะห์ด้านการเมืองและผู้สังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนก็ออกมาเตือนสหรัฐฯ ว่าไม่ควรกระทำการใดๆ ก็ตามเพื่อโค่นมาดูโรออกจากตำแหน่งด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
- ส่องท่าทีทรัมป์กับโอกาสเกิดสงคราม
คำถามสำคัญที่อยู่ในใจใครหลายคนขณะนี้ คงหนีไม่พ้นประเด็นที่ว่า ‘สหรัฐฯ จะบุกกับเวเนซุเอลาหรือไม่’
แม้คำตอบจะยากเกินคาดเดา แต่หากพิจารณาจากท่าทีของทรัมป์จะเห็นว่า แม้เขาจะแข็งกร้าวสุดขีด แต่ก็ยังพอมีช่องทางการเจรจา
นับตั้งแต่ที่กลับเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ในเดือนมกราคม 2025 ทรัมป์ใช้ถ้อยคำโจมตีมาดูโรอยู่บ่อยครั้ง โดยกล่าวโทษว่าเวเนซุเอลาคือต้นเหตุของขบวนการค้ายาเสพติดและปัญหาผู้อพยพที่ทะลักเข้าสหรัฐฯ
เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์ก็สั่งยกเลิกสัมปทานข้อตกลงธุรกรรมน้ำมันที่โจ ไบเดน เคยให้ไว้ อีกทั้งยังกำหนดภาษี 25% สำหรับประเทศที่ซื้อน้ำมันจากเวเนซุเอลา และต่อมายังได้เพิ่มรางวัลสำหรับผู้ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับการจับกุมมาดูโรเป็นสองเท่า และประกาศให้มาดูโรเป็น “ผู้นำก่อการร้ายระดับโลก”
ความดุดันของทรัมป์ยังไม่หมดเท่านั้น ในช่วงเดือนตุลาคม 2025 ทรัมป์ยืนยันว่าเขาได้อนุญาตให้ CIA ดำเนินปฏิบัติการลับในเวเนซุเอลา โดยอ้างว่าเวเนซุเอลาได้ปล่อยนักโทษออกจากเรือนจำเข้าสู่สหรัฐฯ และมียาเสพติดจำนวนมาก รวมถึงเฟนทานิลกำลังไหลทะลักเข้ามาจากเวเนซุเอลาผ่านทางทะเล โดยรัฐบาลได้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง USS Gerald R Ford พร้อมเรือรบอื่น ๆ รวมถึงทหารหลายพันนาย และเครื่องบินรบ F-35 ไปยังทะเลแคริบเบียน
และเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (27 พฤศจิกายน) ทรัมป์ถึงกับกล่าวว่า การโจมตีทางบกภายในเวเนซุเอลาอาจเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้
ท่ามกลางความตึงเครียดที่ดูขมวดหนักขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม มีรายงานจาก The New York Times และ The Wall Street Journal ว่า ทรัมป์ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับมาดูโร แต่ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับการสนทนาดังกล่าว
- มาดูโรว่าอย่างไรบ้าง
เวเนซุเอลาประณามสหรัฐฯ ที่ประกาศปิดน่านฟ้า โดยแถลงการณ์จากกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า การกระทำของทรัมป์เป็น “ภัยคุกคามจากนักล่าอาณานิคม” ซึ่งถือเป็น “การรุกรานที่ผิดกฎหมาย เกินขอบเขต และเป็นการรุกรานอย่างไร้เหตุผลต่อประชาชนชาวเวเนซุเอลา”
ด้านมาดูโรได้ประณามประวัติการทำงานของ CIA ในความขัดแย้งทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การโค่นล้มผู้นำใน ‘สงครามที่ล้มเหลวชั่วนิรันดร์’ (The Failed Eternal Wars) เช่น สงครามในอัฟกานิสถาน อิรัก และลิเบีย
ขณะเดียวกัน มาดูโรก็ออกมาเรียกร้องสันติภาพอย่างต่อเนื่อง เขาปฏิเสธสงคราม และสนับสนุนความสามัคคี เขาปรากฏตัวทางโทรทัศน์ พร้อมประกาศเป็นภาษาสเปนและอังกฤษผสมกันว่า “No war… Peace, forever”
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน มาดูโรยังนำบทเพลงแห่งสันติภาพสุดอมตะอย่าง Imagine ของจอห์น เลนนอน มาร้องในการชุมนุมของผู้สนับสนุน โดยกล่าวว่า “จงทำทุกอย่างเพื่อสันติภาพ ดังที่จอห์น เลนนอนเคยกล่าวไว้ ลองนึกภาพผู้คนทั้งหลาย (Imagine all the people)”
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มาดูโรได้ให้คำมั่นว่า จะปกป้องประเทศจาก “ภัยคุกคามจากลัทธิจักรวรรดินิยม” เขาได้กล่าวปราศรัยต่อฝูงชนที่โรงเรียนนายร้อยทหารฟูเอร์เต ติอูนา ในชุดทหารเต็มยศ พร้อมกับถือดาบของซิมอน โบลิวาร์ วีรบุรุษประจำชาติของเวเนซุเอลา
- เวเนซุเอลาเป็นแหล่งยาเสพติดอย่างที่ทรัมป์ว่าจริงหรือไม่
แม้รัฐบาลทรัมป์จะผลักดันแนวคิดที่ว่าเวเนซุเอลามีความเชื่อมโยงกับเครือข่าย “ผู้ก่อการร้ายยาเสพติด” แต่ข้อมูลจาก Al Jazeera ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงอีกด้านว่า วิกฤตเฟนทานิล (Fentanyl) ที่คร่าชีวิตชาวอเมริกันส่วนใหญ่ แทบไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเวเนซุเอลา
ข้อมูลจากสำนักงานปราบปรามยาเสพติดแห่งสหรัฐอเมริกา (DEA) และกระทรวงการต่างประเทศระบุชัดเจนว่า เม็กซิโกคือศูนย์กลางการผลิตสารโอปิออยด์สังเคราะห์ โดยใช้สารตั้งต้นที่นำเข้าจากจีน
สำหรับโคเคน (Cocaine) นั้น แม้ว่าเวเนซุเอลาจะดูเหมือนเป็นศูนย์กลางการขนส่ง แต่ก็ไม่ใช่ผู้ผลิตหลักหรือผู้ค้ารายใหญ่ โดยโคลอมเบียยังคงครองแชมป์ผู้ผลิตโคเคนรายใหญ่ที่สุดในโลก และโคเคนส่วนใหญ่ที่ผ่านเวเนซุเอลาจะถูกส่งไปยังยุโรป
ในปี 2020 สหรัฐฯ ประเมินว่า มีการค้าโคเคนผ่านเวเนซุเอลาประมาณ 200-250 ตันต่อปี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 13% ของปริมาณทั่วโลก
- ผู้นำโลกคิดอย่างไรต่อปฏิบัติการสหรัฐฯ
พันธมิตรของสหรัฐฯ ในยุโรปได้ออกมาคัดค้านการโจมตีของรัฐบาลสหรัฐฯ ในทะเลแคริบเบียน โดยในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกลุ่ม G7 ฌอง-โนเอล บาร์โรต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส กล่าวว่า การโจมตีดังกล่าว “ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ”
อย่างไรก็ตาม มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ โต้กลับอย่างดุดันว่า ชาติต่างๆ ควรขอบคุณสหรัฐฯ ที่สังหารผู้ลักลอบขนยาเสพติด และกล่าวว่า “ผมไม่คิดว่าสหภาพยุโรปมีสิทธิ์กำหนดว่ากฎหมายระหว่างประเทศคืออะไร” และ “แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์กำหนดว่าสหรัฐฯ จะปกป้องความมั่นคงแห่งชาติของตนอย่างไร”
ด้านโคลอมเบียก็ออกมาคัดค้านการกระทำของสหรัฐฯ อย่างแข็งขัน เนื่องจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อโคลอมเบีย ซึ่งมีพรมแดนติดกับเวเนซุเอลากว่า 2,219 กิโลเมตร โดยปัจจุบันผู้ลี้ภัยชาวเวเนซุเอลาหลายล้านคนได้หลบหนีออกจากประเทศไปอาศัยอยู่ในโคลอมเบีย เพื่อหลีกหนีจากวิกฤตเศรษฐกิจและการเมืองที่แก้ไม่ตก
กุสตาโว เปโตร ประธานาธิบดีโคลอมเบียกล่าวว่า การเสริมกำลังทหารของสหรัฐฯ ในทะเลแคริบเบียน “เป็นการรุกรานละตินอเมริกาอย่างไม่ต้องสงสัย”
ส่วนประธานาธิบดีลูลา ดา ซิลวา ของบราซิล ได้แสดงจุดยืนทางการทูตที่หนักแน่น โดยกล่าวกับผู้สื่อข่าวในโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ว่า “ไม่มีประธานาธิบดีของประเทศอื่นใดควรตั้งสมมติฐานว่าเวเนซุเอลา…ควรเป็นอย่างไร”
ขณะที่เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ประณามการโจมตีของสหรัฐฯ ว่า “เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้” พร้อมกล่าวเสริมว่า “นี่คือสิ่งที่ประเทศที่ไร้กฎหมายปฏิบัติกัน เช่นเดียวกับประเทศที่ถือว่าตนเองอยู่เหนือกฎหมาย”
ส่วนประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน กล่าวในจดหมายที่ส่งถึงมาดูโรเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน โดยยืนยันว่าทั้งสองประเทศเป็น “มิตรสนิท พี่น้องที่รัก และพันธมิตรที่ดี” โดยกล่าวว่า “จีนคัดค้านอย่างเด็ดขาดต่อการแทรกแซงกิจการภายในของเวเนซุเอลาโดยกองกำลังภายนอก ไม่ว่าจะด้วยข้ออ้างใดๆ ก็ตาม”
ภาพ: Pete Marovich/Getty Images
อ้างอิง:


