หลังการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของ โดนัลด์ ทรัมป์ เราสามารถเริ่มประเมินเกมของทรัมป์และ สีจิ้นผิง ในยกแรก เรียกว่าต่างฝ่ายต่างมีลูกเล่นแพรวพราว
เริ่มจากทรัมป์ก่อน อาจสรุปกลยุทธ์ของทรัมป์ตอนนี้ได้ 3 ข้อ
- ในเกมสามก๊กสหรัฐฯ-จีน-รัสเซีย ทรัมป์พยายามหันมาเป็นมิตรกับจีน เพื่อแยกจีนกับรัสเซียออกจากกัน และให้จีนช่วยกดดันรัสเซียเพื่อยุติสงครามยูเครน
ข้อนี้แตกต่างจากเดิมที่นักยุทธศาสตร์หลายคนนึกว่าทรัมป์จะหันไปสนิทกับ วลาดิเมียร์ ปูติน คืนดีกับรัสเซีย เพื่อแยกรัสเซียออกจากจีน และทุ่มความสนใจและสรรพกำลังทั้งหมดของสหรัฐฯ มาจัดการจีน แต่ตรงกันข้าม เปิดฉากแรกทรัมป์กลับเลือกแสดงท่าทีที่เป็นมิตรต่อจีน และหยอดคำหวานว่า หากสหรัฐฯ และจีนร่วมมือกัน จะสามารถแก้ปัญหาทั้งโลกได้
- ทรัมป์เลือกเล่นเกม Good Cop-Bad Cop การตั้งคณะรัฐมนตรีของทรัมป์ล้วนประกอบไปด้วยสายเหยี่ยวต่อจีน ไม่ว่าจะเป็น มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ที่ถูกจีนคว่ำบาตรไม่ให้เข้าประเทศ) หรือ ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคง ซึ่งก็มองจีนเป็นภัยคุกคามร้ายกาจที่ต้องจัดการ
คนเหล่านี้ล้วนเป็น Bad Cop ที่ออกมาคอยโจมตีและแสดงท่าทีดุดันต่อจีน ส่วนทรัมป์กลับเลือกที่จะเล่นบท Good Cop โดยหลีกเลี่ยงที่จะโจมตีจีนในสุนทรพจน์และการแถลงข่าว ทั้งยังต่อสายตรงถึงสีก่อนเข้ารับตำแหน่ง ประกาศเชิญสีมาร่วมงานรับตำแหน่ง (สีส่งรองประธานาธิบดีมาเป็นตัวแทน) และยังประกาศว่าตั้งใจจะไปเยือนจีนภายใน 100 วันแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง
- ดูเหมือนทรัมป์พยายามจุดประเด็นใหม่ๆ เพื่อเบนความสนใจออกจากเรื่องจีน จะเห็นได้จากการที่เขากลับมาซัดแคนาดาและเม็กซิโก เน้นเรื่องผู้อพยพ ซึ่งเกี่ยวข้องกับลาตินอเมริกามากกว่า และหันมาเปิดประเด็นเรื่องคลองปานามา ส่วนเรื่องการขึ้นกำแพงภาษีสินค้าต่างชาติ ทรัมป์ก็เน้นว่าจะขึ้นกำแพงภาษีสินค้า ‘ต่างชาติ’ ไม่ได้เน้นที่จีนอย่างเดียวเหมือนสงครามการค้ารอบแรก กระแสการเป็นปฏิปักษ์ต่อจีนอ่อนลงมาก
ทั้งหมดนี้เพราะเรื่องสำคัญลำดับแรกของทรัมป์ในตอนนี้คือ ปัญหาผู้อพยพ และการยุติสงครามยูเครน โดยเฉพาะในเรื่องสงครามยูเครนนั้น ทรัมป์มองว่าจีนจะสามารถมีอิทธิพลต่อรัสเซียได้
ส่วนสงครามการค้าต่อจีนนั้นขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ทรัมป์คงจะเริ่มขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจีนและสินค้าต่างชาติภายหลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศลดภาษีในประเทศเพิ่มเติมได้สำเร็จ และภายหลังจากที่สามารถกดราคาพลังงานลงจากการเพิ่มการขุดน้ำมัน ซึ่งจะช่วยคุมเงินเฟ้อสหรัฐฯ ทำให้ถึงเวลานั้นทรัมป์จึงจะค่อยมีช่องว่างมากขึ้นที่จะขึ้นกำแพงภาษีสินค้าต่างชาติโดยไม่กระทบผู้บริโภคสหรัฐฯ มากนัก
หากวิเคราะห์เกมโต้กลับของสีอาจสรุปเป็นกลยุทธ์ได้ 3 ข้อเช่นกัน
- จีนต้องจับมือรัสเซียไว้ให้มั่น เพราะตามประวัติสามก๊กของจีน ก๊กเล็กต้องจับมือกันให้แน่นแฟ้น ไม่เช่นนั้นย่อมจะถูกก๊กใหญ่เขมือบทีละก้อน สีจึงแสดงสัญลักษณ์ด้วยการต่อสายตรงถึงปูตินในวันที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง โดยสีได้เล่าให้ปูตินฟังว่าคุยอะไรกับทรัมป์บ้าง และปูตินเล่าให้สีฟังถึงการประเมินสถานการณ์สงครามยูเครนของรัสเซีย
- จีนเลือกเล่นเกมนิ่ง ดูไม่สนใจที่จะตอบสนองต่อท่าทีที่เป็นมิตรของสหรัฐฯ มากนัก ทรัมป์เชิญสีไปร่วมงานรับตำแหน่ง กว่าจีนจะตอบว่าจะส่งตัวแทนไปก็ใกล้วันงานมาก ทรัมป์บอกว่าอยากไปเยือนจีนในช่วง 100 วันหลังรับตำแหน่ง จีนก็ไม่ได้ตอบรับหรือแสดงท่าทีแข็งขันที่จะต้อนรับแต่อย่างใด ทรัมป์ส่งเสียงอะไรกลับเหมือนอีกฝ่ายสนองกลับด้วยความนิ่งเงียบ ไม่แสดงท่าทีเร่งร้อนหรือกระวนกระวายที่จะต้องคุยกับสหรัฐฯ
จีนเล่นเกมนิ่ง เพื่อกดดันให้สหรัฐฯ แสดงความจริงใจก่อนว่าท่าทีที่เป็นมิตรต่อจีนจะสะท้อนออกมาด้วยการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมอย่างไรได้บ้าง นอกจากลมปากและการยังไม่ขึ้นกำแพงภาษีที่เคยขู่ไว้ ส่วนเกม Good Cop-Bad Cop ของทรัมป์นั้น จีนต้องการให้ทรัมป์ส่งสัญญาณให้ชัดว่าตกลงทรัมป์เป็นคนกำหนดนโยบายต่างประเทศแน่ใช่ไหม และหากจีนคุยกับทรัมป์จบ ลูกน้องทรัมป์จะอยู่ในแถว ไม่ออกนอกแถวมาซัดจีนใช่ไหม
สีและปูตินพูดชัดเจนว่าต้องการการทูตระหว่างผู้นำ ความหมายคือต้องการให้ผู้นำสูงสุดอย่างสี ปูติน และทรัมป์ นั่งลงตกลงเรื่องใหญ่ๆ กัน ไม่ใช่มาคุยกันผ่านลูกน้อง ดังที่รัสเซียปฏิเสธที่จะพบผู้แทนของทรัมป์ จีนและรัสเซียน่าจะมองว่าการเจรจากับทรัมป์ ซึ่งเป็นคนไม่มีมิติเชิงอุดมการณ์ แตกต่างจากทีมงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งมักเต็มไปด้วยอุดมการณ์ ค่านิยมดั้งเดิม และจุดยืนฝังราก น่าจะทำให้คุยกับทรัมป์โดยตรงง่ายกว่า ซึ่งต้องรอดูต่อว่าทรัมป์จะรับลูกหรือไม่
- จีนและรัสเซียต้องการโลกที่มหาอำนาจต่างมีเขตอิทธิพลของตน (Zone of Influence) ที่คนนอกหลีกเลี่ยงที่จะมายุ่ง เอาให้ชัดคือจีนต้องการมีอิทธิพลในอินโด-แปซิฟิก โดยสหรัฐฯ ไม่เข้ามายุ่ง ส่วนรัสเซียก็ต้องการมีอิทธิพลในยูเครนและพื้นที่สหภาพโซเวียตเก่า โดยไม่ต้องปวดหัวกับการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ และ NATO เข้ามาประชิดรัสเซีย
ในมุมนี้สีย่อมมองทรัมป์ว่าเป็นโอกาสทองที่จะดีลได้ เพราะทรัมป์ดูมีแนวโน้มสนใจ America First ภาพการกลับมายิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ ในสุนทรพจน์การรับตำแหน่งของทรัมป์ก็ดูเป็นเรื่องการกลับมาฟื้นฟูอิทธิพลของสหรัฐฯ ในทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้เป็นหลัก ดังที่ทรัมป์หันมาเล่นเรื่องจัดการกับแคนาดา, เม็กซิโก, ลาตินอเมริกา และคลองปานามา ขณะที่ดูเหมือนทรัมป์ต้องการยุติสงครามยูเครนให้เร็วที่สุด และไม่สนใจที่มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องไต้หวันหรือทะเลจีนใต้
ถึงกับมีคนเปรียบเทียบว่าโลกในยุคทรัมป์ 2.0 นั้นอาจมีเพียง 3 คนนี้ ทรัมป์ ปูติน และสี ซึ่งมีที่นั่งที่โต๊ะอาหาร ส่วนชาติที่เหลือทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นยูเครน, ชาติในสหภาพยุโรป, ในลาตินอเมริกา และในอินโด-แปซิฟิก (เช่น ไต้หวัน และฟิลิปปินส์) ล้วนจะอยู่บนเมนู รอว่า 3 คนบนโต๊ะดีลกันได้ไหมและจะแบ่งเค้กกันอย่างไร
ภาพ: Lauren DeCicca / Getty Images, Kevin Lamarque / Reuters, Brunohitam via Shutterstock