×

โลกในมือทรัมป์ 2.0 เขย่าตลาดลงทุนปี 2025 สุดยอดโอกาสของคนที่รอได้…ถ้าวางแผนให้ดี

19.01.2025
  • LOADING...
การวิเคราะห์ตลาดการลงทุนในยุคทรัมป์ 2.0

นับถอยหลังอีกไม่กี่วัน โลกจะเข้าสู่ยุค ‘ทรัมป์ 2.0’ แล้ว โดย ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ จะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม 2568 เป็นสมัยที่สอง มุ่งขับเคลื่อนด้วยนโยบาย ‘America First’ แม้จะรับรู้กันมาข้ามปี แต่ปีนี้จะเห็นของจริงกับเกมเปลี่ยนกฎกติกาการค้าโลกอีกระลอก พร้อมเขย่าโลกลงทุนในปีงูไฟ

 

เริ่มต้นศักราชปีใหม่ไม่ทันไรก็มีกระแสป่วนโลกว่า ทันทีที่เสร็จสิ้นพิธีการรับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันเดียวกัน ‘ทรัมป์’ ก็มีแผนจะประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจแห่งชาติ เพื่อให้เขามีอำนาจในการใช้นโยบายตั้งกำแพงภาษีนำเข้าตามที่ได้สัญญาไว้ในช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง แม้เขาจะออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริงก็ตาม

 

แต่ก็ยังมีอีกกระแสตามมาว่า เขามีแผนที่จะผ่อนคลายนโยบายการตั้งกำแพงภาษี โดยจะมีการจัดเก็บภาษีศุลกากรต่อทุกประเทศ แต่จะจำกัดเป้าหมายเพียงบางอุตสาหกรรม แทนที่จะเป็นการประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศในวงกว้าง

 

ชั่วโมงนี้สถานการณ์โลกตกอยู่ในภาวะฝุ่นตลบ ถามว่าอะไรเป็นของจริง!! มีคำตอบเดียวคือทำได้แค่เฝ้ารอประกาศนโยบายต่างๆ ออกมา โดยเฉพาะนโยบายกำแพงภาษีสินค้านำเข้า ที่จะบ่งบอกสงครามการค้าโลก (Trade War) รอบนี้ร้อนแรงระอุแค่ไหน และแน่นอนว่าโลกจะอยู่กับความไม่แน่นอนไปกับ ‘ประธานาธิบดีขิงแก่’ อีก 4 ปี

 

ขณะที่โลกของตลาดหุ้นไม่ชอบความไม่ชัดเจนอยู่แล้ว และมักจะมาคู่กับความผันผวนเสมอ

 

บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกประเดิมปีใหม่จึงไม่สดใสครับ เพราะตลาดให้น้ำหนักปัจจัยเสี่ยงจาก ‘ทรัมป์ 2.0’ เป็นอันดับหนึ่ง บดบังปรากฏการณ์ January Effect ไปเลยทีเดียว

 

ภาพตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับแรงเทขายหุ้น ลดความเสี่ยงหันถือเงินสด โดยเฉพาะตลาดเอเชียมีความผันผวนขาลง นำโดยจีนที่เป็นคู่ปรับสำคัญของสหรัฐฯ เปิดวันแรก (2 มกราคม) ตลาดหุ้นฮ่องกงและจีนกอดคอกันปรับตัวลงแรง โดยดัชนี Hang Seng ปรับลดลง 2.4% และดัชนี Shanghai Composite ปรับลง 2.6% แน่นอนว่าตลาดหุ้นไทยและอีกหลายๆ ตลาดก็ร่วงลงทิศทางเดียวกันตลอดช่วงกว่า 1 สัปดาห์แล้ว

 

ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีทิศทางไม่แน่นอน แม้เปิดตลาดวันแรกหลังปีใหม่จะติดลบแต่ก็พลิกบวกได้ ก่อนที่จะทำจุดสูงสุดในรอบ 8 เดือนได้อีกครั้งในสัปดาห์ก่อน หลังจากทรัมป์ประกาศข่าวดีของสหรัฐฯ ว่าจะมีการลงทุนจากเศรษฐีดูไบกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อสร้าง Data Center แห่งใหม่ทั่วสหรัฐฯ ทั้งนี้ ทรัมป์พยายามดึงดูดชาวต่างชาติให้มาทำธุรกิจในสหรัฐฯ มากขึ้น ด้วยการเสนอสิทธิพิเศษ เช่น ใบอนุญาตเร่งด่วนสำหรับผู้ที่ลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ขึ้นไป

 

ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond Yield) ก็มีความผันผวนเปิดทำการวันแรกเช่นกัน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีเพิ่มขึ้นใกล้จะถึง 4.6% สะท้อนการคาดการณ์ของตลาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันดอกเบี้ย Fed อยู่ที่ระดับ 4.25-4.50%

 

หลังจากหลายตัวเลขชี้วัดเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง ล่าสุดการเติบโตในภาคบริการเร่งตัวขึ้นในเดือนธันวาคม สะท้อนถึงกิจกรรมทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งดันดัชนีราคาสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2023 และตลาดแรงงานที่ตัวเลขจ้างงานเพิ่มขึ้น

 

ทั้งนี้ สอดคล้องกับการส่งสัญญาณของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed เมื่อปลายปีที่แล้วว่า Fed จะเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในการดำเนินการนโยบายดอกเบี้ยปี 2568 โดยมีแนวโน้มจะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 2 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 0.5% คาดว่าจะลงมาอยู่ที่ระดับ 3.75-4.00%

 

เปิดศักราชใหม่ Bond Yield สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น มุมมองของนักลงทุนในตลาดเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงอาจทำให้การลงทุนในตราสารหนี้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่กังวลว่าราคาหุ้นแพงมากเกินไปแล้ว ซึ่งในหมู่นักลงทุนถือเป็นอีกประเด็นที่เพิ่มความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดในอนาคต

 

เมื่อเร็วๆ นี้ โฮเวิร์ด มาร์ก กูรูลงทุนชื่อดังที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนสาย VI ระดับโลกให้ความเชื่อถือ ออกมาเตือนถึงสัญญาณฟองสบู่ในหุ้นสหรัฐฯ และบอกว่านักลงทุนไม่ควรประมาทมูลค่าตลาดที่แพงในปัจจุบัน

 

หรือแม้แต่ ลิซ ยัง โทมัส หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุนบริษัทบริการด้านการเงิน SoFi กล่าวว่า “ถ้าเราไม่ต้องการซื้อ (หุ้น) ในระดับดัชนีสูงสุดตลอดกาล ตอนนี้คุณควรถือเงินสดไว้รอจังหวะการเข้าซื้อที่ดีกว่า และรอซื้อหุ้นบางตัว”

 

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วคุณคงอยากได้คำตอบว่าตกลงตลาดหุ้นจะน่ากลัวหรือไม่ เมื่อทรัมป์เป็นประธานาธิบดี แล้วต้องจัดการกับพอร์ตก่อนหรือไม่

 

ทุกคนคงจำกันช่วงก่อนหน้านี้ ทรัมป์อยู่ระหว่างการเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ตลาดหุ้นก็ผันผวนตกลงมาอยู่บ้างเป็นระยะๆ เพราะฉะนั้นย่อมจะกระทบต่อคนที่ลงทุนระยะสั้น ซึ่งก็ต้องตัดสินใจว่าจะขายเพื่อกอดเงินสดหรือจะถือต่อไปดี ส่วนการเข้าซื้อในช่วงนี้เหมาะสมหรือไม่ คุณต้องกลับมาทำการบ้านศึกษาให้รอบคอบหรือสอบถามที่ปรึกษาการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุนครับ

 

แต่สำหรับผมมองในภาพระยะยาว เชื่อว่าการที่ทรัมป์ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็นับว่าเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก ด้วยนโยบายต่างๆ ที่เคยประกาศไว้ ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีนิติบุคคลหรือการขึ้นภาษีคู่ค้าต่างๆ ซึ่งชัดเจนมากว่าต้องการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

 

หากย้อนกลับไปดูตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก ตลาดหุ้นมีความผันผวนขึ้นลง แต่ในภาพรวมตั้งแต่ปี 2560-2564 ดัชนี Nasdaq +142.24% ดัชนี S&P 500 +69.59% และดัชนี Dow Jones +57.30%

 

ดังนั้นถ้ามองเป็นการลงทุนระยะยาว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผมเห็นว่ายังสามารถลงทุนได้ แต่ถ้าใครกังวลเรื่องความผันผวน แนะนำให้เน้นลงทุนใน Core Port (พอร์ตหลัก) ในสัดส่วนที่มากกว่า Satellite Port (พอร์ตรอง) ครับ

 

ทั้งนี้ทั้งนั้น หลักการลงทุน Core & Satellite Port เป็นการจัดพอร์ตกระจายลงทุนแยก 2 พอร์ต โดยพอร์ตหลักเน้นลงทุนสินทรัพย์ที่อาจจะให้ผลตอบแทนไม่สูง แต่ความเสี่ยงต่ำแน่ๆ เช่น พันธบัตร หุ้นกู้คุณภาพ หุ้นปันผล ทองคำ เป็นต้น ส่วนพอร์ตรองเน้นลงทุนสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงเสี่ยงสูง มักจะเป็นหุ้นในตลาดเกิดใหม่ ประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตสูงๆ หุ้นกลุ่ม Growth Stock หรือธีมใหม่ๆ ที่มาแรง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในแต่ละพอร์ตสามารถลงทุนในสินทรัพย์หลายๆ ประเภทช่วยกระจายความเสี่ยงรองรับสถานการณ์ที่พลิกผัน หากสินทรัพย์หนึ่งได้รับผลกระทบ ก็จะมีอีกสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนหรือพยุงพอร์ตให้ยืนหรือเติบโตไปต่อได้ระดับหนึ่ง

 

ผมขอยกตัวอย่างการลดน้ำหนักความเสี่ยงการลงทุน เช่นเดิมมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 80% และพันธบัตร 20% หากในสถานการณ์นี้ก็จะมีความเสี่ยงสูงไป จะแนะนำว่าคุณสามารถเพิ่มความสมดุลให้กับพอร์ตที่สัดส่วน 50:50 ก็ได้ ลดความเสี่ยงลงมาหน่อย เพื่อจะได้เก็บผลตอบแทนที่ดีไว้ต่อไป หรือถ้าคนที่ยังวิตกกังวลมากๆ ไม่อยากเสี่ยงในภาวะฝุ่นตลบ ก็สามารถเลือกปรับเปลี่ยนมาเป็นสัดส่วนพันธบัตร 80% เป็น Core Port และลดหุ้นเหลือ 20% เป็นพอร์ตรองก็สามารถทำได้ คำแนะนำนี้สำหรับคนที่ลงทุนระยะยาวนะครับ เพราะผมเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเติบโตระยะยาว และหุ้นสหรัฐฯ ยังเป็นสินทรัพย์ที่ถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของนักลงทุนทั่วโลกที่จะมีติดไว้ในพอร์ตกันครับ

 

อีกหนึ่งตลาดหุ้นที่โลกให้น้ำหนักลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนสูงอย่างตลาดหุ้นจีน ซึ่งจีนเป็นประเทศขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลกและเป็นตลาดเกิดใหม่เบอร์หนึ่งของโลก แต่เนื่องจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจีนประสบวิกฤตฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ กระทบทั้งเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ล่าสุดภาคการผลิตในจีนยังชะลอตัว แม้รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายระลอก แต่ทุกอย่างต้องใช้เวลาแก้ไข และปีนี้จีนยังต้องเผชิญกับสงครามการค้ารอบใหม่ของสหรัฐฯ

 

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำให้ลดสัดส่วนการถือหุ้นจีนลง ผมคิดว่าหุ้นจีนคุณภาพดีๆ ก็ยังมีอยู่หลายๆ ตัวครับ แต่ไม่ว่าอย่างไรขึ้นกับความสามารถรับความเสี่ยงของแต่ละคนครับ ส่วนตัวผมยังมองในระยะยาวเศรษฐกิจจีนมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากการปรับโครงสร้างสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และการพึ่งตัวเองฝ่ามรสุมสงครามการค้า และปัจจุบันจีนพลิกเกมเป็นผู้นำตลาดได้หลายอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ EV พลังงานสะอาด สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ดังๆ ที่ติดตลาดโลก

 

เพราะฉะนั้น ผมขอย้ำว่าการลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะขายออก ถือต่อ ซื้อเพิ่ม คุณจำเป็นต้องศึกษา ทำการบ้าน และขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาการลงทุน จนเมื่อคุณเข้าใจมั่นใจดีแล้วค่อยตัดสินใจลงทุนครับ ผมมั่นใจว่าวิธีนี้จะช่วยคุณลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้แน่นอน และยังบริหารจัดการผลตอบแทนให้พอร์ตเติบโตต่อไปได้ในระยะยาวครับ

 

ผมหวังว่าคุณจะประเมินพอร์ตโฟลิโอเป็นระยะๆ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ถือเป็นสิ่งสำคัญนะครับ ขณะที่การกระจายความเสี่ยงยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการลดผลกระทบจากความผันผวน นักลงทุนมือใหม่ควรทำความเข้าใจและพิจารณาลงทุนอย่างระมัดระวังตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

 

และหากคุณใช้เครื่องมือบริหารพอร์ต ด้วยการ DCA หรือลงทุนถัวเฉลี่ยสม่ำเสมออยู่แล้ว ก็ยิ่งช่วยลดความกังวลได้อีกขั้นครับ เพราะเมื่อคุณ DCA ทุกเดือนหรือทุกรอบที่กำหนดไว้ จะช่วยถัวเฉลี่ยต้นทุนการลงทุน คุณไม่ต้องจับจังหวะเลย และยังเป็นการสะสมเงินต้นและผลตอบแทนทบไปเรื่อยๆ ทำให้พอร์ตมั่นคงขึ้น และสามารถเติบโตในระยะยาวได้

 

สำหรับปีใหม่ 2568 ที่มีความผันผวนรออยู่นี้ ผมขอให้ทุกคนยึดหลักการลงทุนที่ดี เข้าใจในหลักการลงทุน เข้าใจการลงทุนระยะยาว และวางแผนให้รอบคอบ ไม่ประมาท อย่าลืมใช้ 2 เครื่องมือที่ผมย้ำ หลักการกระจายลงทุนพอร์ตหลักพอร์ตรอง ปรับสัดส่วนให้สมดุลกับความเสี่ยงของตัวเองในแต่ละช่วงเวลา และการ DCA ถึงแม้ว่าปีนี้การลงทุนจะเสี่ยงสูงขึ้น แต่ก็จะช่วยลดความผันผวนให้ได้ และอาจจะเป็นปีที่เปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมให้กับคนที่รอได้ครับ ขอเพียงให้พวกเราทุกคนมีความมุ่งมั่นตั้งใจกับการลงทุนของเราไปเรื่อยๆ ครับ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising