ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนที่ ซอนย่า คูลลิ่ง ยังไม่ต้องเข้าห้องดำ และเป็นผู้ดำเนินรายการ MTV Most Wanted ทางช่อง MTV Asia รายการนี้นี่เองที่เด็กยุค 90s จะจำกันได้ดีว่าคอนเซปต์คือการที่ผู้ชมทางบ้านส่งผลงานอาร์ตสุดสร้างสรรค์พร้อมขอเพลงที่อยากให้เปิด ซึ่งในปี 1998 สำหรับเด็ก LGBTQ หลายคนก็น่าจะขอ …Baby, One More Time ของ Britney Spears, Ray of Light ของ Madonna, When You Believe ของ Mariah Carey และ Whitney Houston, Stop ของ Spice Girls หรือ Believe ของ Cher เป็นต้น เพราะนักร้องเหล่านี้เปรียบเสมือน ‘คุณแม่’ เป็นแรงบันดาลใจหรือฮีโร่ที่สนับสนุนกลุ่ม LGBTQ มาตลอด และหลายเพลงของพวกเธอแฝงด้วยข้อคิดที่ต้องเฉลิมฉลองความเป็นตัวของตัวเอง
แต่ถ้าถามว่าในปี 1998 มีนักร้องสายเมนสตรีมที่ออกมาเปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจนว่า “ฉันเป็นเกย์” พร้อมมีมิวสิกวิดีโอที่คู่รักเป็นเพศเดียวกันไหม ก็ต้องบอกว่าแทบจะไม่มีให้เห็น มากสุดอาจเป็นแดนเซอร์ที่เต้นเลื้อยๆ ประกอบอยู่ข้างหลัง แม้แต่ Elton John หรือ George Michael ที่ในตอนนั้นเปิดเผยสถานะว่าเป็นเกย์ มิวสิกวิดีโอของพวกเขาก็ต้องหลีกเลี่ยงที่จะแตะประเด็นนี้ เพราะสังคมและอุตสาหกรรมดนตรีในตอนนั้นยังไม่เปิดรับคน LGBTQ มากพอ
แต่พอกดปุ่มเดินหน้ามาในเดือนกันยายน ปี 2015 เราได้เห็นนักร้องหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่งชื่อ ทรอย ซีวาน (Troye Sivan) ที่ภายนอกมาครบสูตรของ ‘ป๊อปสตาร์’ เขาปล่อยมิวสิกวิดีโอเพลง Wild ออกมา โดยตัวเขาเองเล่นเป็นพระเอก พร้อมคู่รักที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ซึ่งพูดได้ว่าเปลี่ยนเกมของวงการเพลงกระแสหลักไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะด้านการสะท้อนเรื่องราวกลุ่มคน LGBTQ ที่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะเก้ๆ กังๆ มาตลอด
แน่นอนความรักของกลุ่ม LGBTQ เคยถูกสะท้อนออกมาก่อน แต่ออกมาในรูปแบบของปัญหาหนึ่งในสังคม เช่น มิวสิกวิดีโอ Beautiful ของ Christina Aguilera, Same Love ของ Macklemore หรือ Take Me To Church ของ Hozier แต่จะให้ตัวนักร้องออกมาเปิดเผยว่าตัวเองเป็นเกย์ เล่นมิวสิกวิดีโอกับคู่รัก แล้วฉายทางช่อง MTV ก็ถือว่าเสี่ยง แม้แต่มิวสิกวิดีโอ Stay With Me ของ Sam Smith ก็มีแค่ลำตัวของคู่นอนให้เห็นแวบเดียวในตอนแรก แต่กับทรอยและค่ายเพลง EMI Australia ของเขาดูจะกล้าเสี่ยงมากกว่า ด้วยการเดินหน้าทำเพลงและมิวสิกวิดีโอที่แสดงถึงรสนิยมทางเพศของนักร้องอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม และหวังว่าจะเปิดช่องทางให้ศิลปิน LGBTQ มีพื้นที่ยืนได้ในกระแสหลัก
การตอบรับของมิวสิกวิดีโอและเพลง Wild ถือว่าไม่ได้สร้างกระแสอื้อฉาวหรือโดนต่อต้าน แต่กลับได้เสียงชื่นชม ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดีว่าสังคมได้ก้าวหน้ามาอีกขั้น และค่ายเพลงใหญ่ไม่ต้องเกรงกลัว ถ้าในอนาคตพอเซ็นสัญญากับศิลปินที่เป็น LGBTQ จะต้องมาเล่นซ่อนแอบอีก (แต่บางค่ายก็ยังทำอยู่) ส่วนชื่อเสียงทรอยเองก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเยาวชนที่ทรงอิทธิพลที่สุด ผู้สามารถเปลี่ยนทัศนคติของสังคมเกี่ยวกับการยอมรับของกลุ่ม LGBTQ โดยเพื่อนศิลปินในวงการอย่าง Ariana Grande, Shawn Mendes และ Taylor Swift ก็ต่างออกมาสนับสนุนสิ่งที่ทรอยได้ทำ
จุดเริ่มต้นและเส้นทางความสำเร็จของทรอยถือว่าเป็นตัวอย่างของศิลปินยุคมิลเลนเนียลส์ที่โชคดีได้แรงผลักดันจากโซเชียลมีเดียที่มีบทบาททุกอณูของมนุษย์สมัยนี้ ซึ่งถึงแม้จะทำให้อุตสาหกรรมดนตรีแปรปรวนอย่างมหาศาล แต่ในเรื่องสิทธิของศิลปิน LGBTQ ก็ถือว่าช่วยเป็นอย่างมาก
ทรอย ซีวาน มิลเลต (Troye Sivan Mellet) เกิดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 1995 ที่เมืองโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ ก่อนครอบครัวที่มีพี่น้องอีก 3 คนจะย้ายไปปักหลักที่เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย โดยคุณแม่ Laurelle Mellet เคยเป็นนางแบบ ส่วนคุณพ่อ Shaun Mellet ทำงานหลากหลายงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ทั้งเป็นนายหน้า นักพูดให้แรงบันดาลใจ (Motivational Speaker) และตอนนี้ยังคงทำธุรกิจเกี่ยวกับเช่าบ้านผ่าน Airbnb และขับรถ Uber ในวันว่าง
ในวัยเด็กทรอยถูกเลี้ยงดูและเรียนหนังสือในโรงเรียนศาสนายิวนิกายออร์โธดอกซ์ (Orthodox Jew) ชื่อ Carmen School และเริ่มฝึกร้องเพลงตอนอายุ 7 ขวบ ก่อนที่จะไปร้องเพลงในโบสถ์เป็นประจำ และเดินทางทั่วประเทศออสเตรเลียเพื่อไปแสดงตามที่ต่างๆ โดยชีวิตครอบครัวทรอยก็ถือว่าสมบูรณ์แบบและอบอุ่น แต่เพราะเขาเติบโตอยู่ในตัวเมืองเล็กๆ ที่ไม่ได้มีคนเปิดเผยสถานภาพเป็นเกย์ ทรอยก็ไม่ได้มีตัวอย่างให้ศึกษาและเข้าใจว่าชีวิตของกลุ่มคน LGBTQ เป็นอย่างไร มากสุดที่เขาจะสามารถสัมผัสได้ก็คือจากการแอบดูซีรีส์ Queer As Folk ของช่อง Showtime ที่เป็นหนึ่งในซีรีส์ที่สำคัญสุดต่อวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ LGBTQ
พอทรอยอายุประมาณ 11 ปี เขาก็เริ่มไปร้องเพลงที่รายการทีวี Perth Telethon และเข้ารอบสุดท้ายของรายการแข่งร้องเพลงระดับประเทศ Star Search ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกันที่เขาเริ่มทำวิดีโอบนยูทูบเป็นของตัวเอง ที่ช่วยสร้างฐานแฟนคลับของตัวเองและทำให้เขามีโอกาสไปเล่นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง X-Men Origins: Wolverine (2009) ในบทพระเอก โลแกน ในช่วงวัยเด็ก
https://www.instagram.com/p/Bf-sE2slH3X/
วันที่ 7 สิงหาคม 2010 ถือว่าเป็นวันสำคัญของทรอย เพราะเขาได้ประกาศกับครอบครัวตัวเองว่าเป็นเกย์ ซึ่ง 3 ปีต่อมาในวันที่ 7 สิงหาคม 2013 เขาก็ได้ทำวิดีโอบนยูทูบชื่อ ‘Coming Out’ ที่เล่าถึงประสบการณ์นี้ โดยทุกวันนี้ยอดวิวของวิดีโอก็อยู่ที่ 7.9 ล้านครั้ง และยังคงเป็นหนึ่งในวิดีโอสำคัญที่เยาวชนที่กำลังเผชิญปัญหาคล้ายกันต้องคลิกเข้าไปดู ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ ในช่วงนั้นทรอยก็กำลังจะเซ็นสัญญากับค่ายเพลง EMI Australia ภายใต้ Universal Music Australia พอดี ซึ่งทางค่ายก็สนับสนุนให้ทำวิดีโอนี้และเผยสถานภาพของตัวเองโดยไม่ได้มีข้อบังคับใดๆ
ถ้าถามว่าทำไมค่ายเพลงกระแสหลักอย่าง EMI Australia ถึงยอมให้ทรอยเปิดเผยตัวเองอย่างชัดเจนทั้งที่เขาเป็นนักร้องที่มีทุกอย่างพร้อมเจาะตลาด ‘วัยรุ่น’ และสามารถขายเป็นลุค ‘Boy Next Door’ เหมือน Justin Bieber หรือ Shawn Mendes ก็ต้องบอกว่าทรอยในตอนนั้นมีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นอยู่แล้วที่ช่วยลดความเสี่ยง แถมในช่วงนั้นวงการเพลงเมนสตรีมก็เริ่มเห็นผลงานที่พูดเรื่องราวของชีวิต LGBTQ ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล ทั้งอัลบั้ม For Your Entertainment ของ Adam Lambert ในปี 2009 และอัลบั้ม Born This Way ของ Lady Gaga ในปี 2011
ในปี 2014 ผลงานอัลบั้มอีพีชุดแรกของทรอยชื่อ TRXYE ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต iTunes ในมากกว่า 55 ประเทศทั่วโลก พร้อมเพลงฮิตอย่าง Happy Little Pill ซึ่งต้องบอกว่าผลงานเพลงชุดนี้หนักแน่นเชิงคุณภาพแนวเพลงอิเล็กทรอนิกส์ป๊อป และทำให้เห็นถึงศักยภาพในการเป็นศิลปินของเขา แถมนิตยสาร Time ก็ยกย่องทรอยให้เป็นหนึ่งในเยาวชนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในปีนั้น ซึ่งในลิสต์ก็มี Sasha และ Malia Obama ลูกสาวของประธานาธิบดีบารัก โอบามา อยู่ด้วย รวมถึง มาลาลา ยูซาฟไซ นักกิจกรรมทางสังคมชาวปากีสถานที่ชนะรางวัล Noble Peace Prize
จากซ้ายไปขวา: ภาพจากนิตยสาร V Magazine, L’Officiel USA และ GQ Australia
ต่อมาในปี 2015 ทรอยปล่อยอีพีชุดที่สอง Wild ออกมา ต่อด้วยอัลบั้มเต็มชุดแรก Blue Neighbourhood ที่นักวิจารณ์ต่างชื่นชมถึงความกล้าหาญในการแต่งเพลงที่จริงใจ เปิดเผย และสะท้อนถึงความรู้สึกของเยาวชนสมัยนี้อย่างโปร่งใส ไม่ว่าจะเรื่องสังคม ครอบครัว หรือความรัก เช่นเพลง Heaven ที่ทรอยปล่อยมิวสิกวิดีโอออกมาหนึ่งวันก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะเข้าพิธีสาบานตน ซึ่งคอนเซปต์ของวิดีโอเล่าเรื่องราวของการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของกลุ่ม LGBTQ ไม่ว่าจะช่วงที่นักขับเคลื่อน Harvey Milk ออกมาเรียกร้องสิทธิก่อนจะโดนฆ่า หรือตอนปัญหาโรคเอดส์ โดยทรอยเองได้บรรยายมิวสิกวิดีโอชิ้นนี้เกี่ยวกับกลุ่ม LGBTQ ว่า “พวกเรามีตัวตนมาโดยตลอด และจะมีอยู่ต่อไป ผมขออุทิศมิวสิกวิดีโอนี้ให้กับคนที่ต่อสู้มาก่อน และสำหรับคนที่จะสู้ต่อไป ไม่ว่าในช่วงที่มืดมนหรือแสงสว่าง เราควรรักกันตลอดไป”
มาในปีนี้ทรอยก็กำลังจะออกอัลบั้มชุดใหม่ Bloom ในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ ที่เปิดตัวไปแล้วด้วยซิงเกิลเพลงแรก My!My!My! ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา จากในมิวสิกวิดีโอที่ Grant Singer มากำกับ เราได้เห็นถึงพัฒนาการและความกล้าหาญของทรอยทั้งในเชิงท่าทางและการขยายขอบเขตถึงเรื่องอิสระทางเพศในกลุ่มคนฟังเพลงกระแสหลัก ส่วนเพลงอื่นๆ ก็มีทั้งเพลงช้าสุดซึ้งอย่าง The Good Side of Things ที่เกี่ยวกับการขอโทษ การเลิกรากับคนรักเก่า, เพลง Seventeen เล่าถึงประสบการณ์การเล่นแอปพลิเคชัน Grindr ตอนอายุ 17 ของเขา และอีกหนึ่งเพลงที่แฟนคลับต้องตื่นเต้นก็คือ Dance To This ที่จะร้องคู่กับ Ariana Grande
ภาพปกอัลบั้ม Bloom
อีกผลงานที่ต้องจับตามองก็คือการที่ทรอยจะกลับมาเล่นภาพยนตร์อีกครั้งในเรื่อง Boy Erased ช่วงปลายปีนี้ ผลงานของผู้กำกับ Joel Edgerton ที่เป็นแนวดราม่า Coming-of-Age เล่าเกี่ยวกับการที่พระเอก (แสดงโดย Lucas Hedges) ถูกส่งไปแคมป์เกย์บำบัดโดยพ่อแม่ (แสดงโดย Nicole Kidman และ Russell Crowe) แถมผลงานด้านแฟชั่นของทรอยก็ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเขาเป็นพรีเซนเตอร์คนล่าสุดของ Valentino Spring/Summer 2018 และได้ เอดี สลีมาน ครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนใหม่ของแบรนด์ Céline มาถ่ายปกอัลบั้ม Bloom ให้ ซึ่งยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าทรอยจะไปร่วมงานกับแบรนด์ Céline หรือไม่
แต่ถ้าต้องเลือกหนึ่งเหตุการณ์ที่สำคัญสุดในเส้นทางการเป็นศิลปินของทรอยในช่วงเวลาที่ถือว่ายังเพิ่งเริ่มต้น ก็คงต้องยกให้ในปี 2017 ที่เขาได้รับรางวัลเกียรติยศ Stephen F. Kolzak บนเวที GLAAD Awards ซึ่งทรอยเป็นบุคคลที่อายุน้อยสุดในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัลนี้ โดยคนที่เคยชนะรางวัลก็มีทั้ง Ellen Degeneres, Laverne Cox และ Ian McKellen เป็นต้น
ทรอยพูดได้อย่างเฉลียวฉลาดตอนขึ้นรับรางวัลว่า “สำหรับผม นาทีนี้เกี่ยวกับความชัดเจนและการต้องแสดงให้คนเห็นถึงความสำคัญของกลุ่มเรา ทุกอย่างที่เราเห็นผ่านสื่อเป็นการหล่อหลอมทัศนคติและความคิดของคนทั่วโลกที่อยู่รอบตัวเรา มันสำคัญมากที่เราต้องทำให้คนเห็นและเข้าใจว่าสิ่งที่เราเป็นก็คือสิ่งที่ธรรมดาทั่วไป ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สวยงาม”
หลายคนอาจมีความรู้สึกว่าสังคมเราได้ผ่านยุคของการเหยียดเพศมาแล้ว และจุดยืนของกลุ่ม LGBTQ ก็ถือว่าแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็อาจใช้ในบางมุมของโลก แต่ในความเป็นจริงแล้วเราก็ยังเห็นขอบเขตของคนกลุ่มนี้ยังถูกตีค่าในทางที่ไม่ยุติธรรม มีการใช้กำลังถึงขั้นเสียชีวิต หรือการล้อเลียนพร้อมให้เหตุผลในเชิงว่า คนไม่ควรคิดมาก แต่ก็ถือว่าโชคดีที่เรายังมีศิลปินอย่าง ทรอย ซีวาน ที่ช่วยนำพากลุ่มคน LGBTQ ไปในทิศทางที่คำว่า ‘เท่าเทียม’ ไม่ได้เป็นแค่ความหมายในหนังสือ แต่เกิดขึ้นได้จริงในสังคมเรา ต่อไปอาจจะมีศิลปินคนอื่นที่ทำมากกว่าเขาก็เป็นไปได้ แต่จะน้อยหรือมากก็ไม่สำคัญเท่ากับอย่างน้อยๆ เขาได้ทำอะไรสักอย่าง และทำมันโดยไม่มีความกลัว
Cover Photo: Photography by Pierre Ange Carlotti for Dazed
อ้างอิง: