×

การผจญภัยตามหาเมืองสีขาวในหุบเขาแห่งความฝัน ณ ดินแดนอัญมณีของชาวมัวร์ที่อันดาลูเซีย

15.04.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 Mins read
  • ใจกลางเมืองมหัศจรรย์แห่งหน้าผาที่มีประชากรเพียง 3,000 คนแห่งนี้ มีที่พักอาศัยคล้ายๆ ห้องแถวเล็กๆ เรียงตัวกันอยู่ใต้ผา แทรกไปตามหุบเขาที่ขนาบไปกับแม่น้ำ โดยผนังของบ้านก็ยังเป็นผนังหินดั้งเดิมอยู่ หินจากชะง่อนผาขนาดมหึมาพาดผ่านกลางถนนให้รถขับลอดผ่านไปได้ อันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเมือง
  • เมื่อขึ้นมาถึงจุดชมวิวสูงสุดของเมือง ภาพอ่างเก็บน้ำสีฟ้าเข้มที่เคยเห็นเบื้องหน้ากลับกลายเป็นผืนน้ำสีฟ้าที่แผ่อยู่เบื้องล่าง ขนาบด้วยสีเขียวหลายโทนจากภูเขาโดยรอบ ตัดกับภาพบ้านเรือนสีขาวที่ลดหลั่นกันไปตามภูมิประเทศ เป็นภาพที่น่าประทับใจอย่างมาก
  • กรานาดาเป็นเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น มีความรุ่งเรืองในอดีตซึ่งถูกยึดครองโดยชาวมัวร์ และเป็นเมืองที่ตั้งสุดท้ายก่อนจะถูกยึดครองโดยชาวคริสเตียน อารยธรรมของชาวมัวร์ ทั้งศิลปะ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรม ยังคงแทรกซึมและพบเห็นได้ทั่วเมืองกรานาดา ทำให้เมืองนี้มีได้สมญานามว่าเป็น ‘อัญมณีแห่งอันดาลูเซีย’

ผมว่าใครๆ ก็ต้องเคยมีช่วงเวลาที่ได้เห็นรูปสถานที่สวยๆ สักแห่ง พร้อมกับคำถามในใจว่า “มันอยู่ที่ใดบนโลก?” และจุดเริ่มต้นการเที่ยวแคว้นอันดาลูเซีย (Andalucia) ของผมก็เกิดจากช่วงเวลาเช่นนั้นเหมือนกัน

 

หมู่บ้านสีขาวแห่งเมืองกาเซเรส

 

ผมเองก็จำไม่ได้ว่าเห็นภาพหมู่บ้านสีขาวที่ขาวโพลนจริงๆ ทั้งเมืองตั้งอยู่กลางเนินเขานี้ที่ใด เห็นครั้งแรกก็เข้าใจว่าน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของประเทศกรีซ แต่หลังจากปรึกษาอากู๋และใช้ความสามารถในการสืบค้นส่วนตัวดู พบว่าสถานที่ที่ทำให้ผมฝันถึงได้ขนาดนี้คือ ‘White Villages of Andalucia’ และยังทำให้รู้อีกว่านอกเหนือจากเมืองเด่นๆ อย่าง กรานาดา (Granada), เซบียา (Seville) ที่ถ่ายทำเป็นฉากดอร์น (Dorne) ใน Game of Thrones หรือกอร์โดบา (Cordoba) แล้ว แคว้นปกครองตนเองที่ชื่ออันดาลูเซียแห่งนี้ของประเทศสเปน ก็ยังมีหมู่บ้านเล็กๆ ที่อิ่มไปด้วยเสน่ห์แบบนี้ซุกซ่อนอยู่

 

นอกจากนั้นผมยังค้นพบว่าหมู่บ้านสีขาวแบบที่ผมตกหลุมรักนั้น หาได้มีแห่งเดียว เพราะเมืองหลายๆ เมืองตามภูเขา หน้าผา ริมลำธาร ไปจนถึงชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนก็ล้วนเป็นสีขาวแทบทั้งหมด เนื่องจากแคว้นนี้ในอดีตถูกเข้ายึดครองโดยชาวมัวร์ (Moors) และบ้านสีขาวทรงเสน่ห์นี้เป็นมรดกของชาวเบอร์เบอร์ (Berber) ตามต้นแบบจากทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา อันเป็นดินแดนต้นกำเนิดของชาวมัวร์นั่นเอง

 

สีสันน่ามองของเมืองกอร์โดบา และสะพานโรมันแห่งกอร์โดบา

 

นอกจากนั้นอิทธิพลของสถาปัตยกรรม ศิลปะ วัฒนธรรมต่างๆ จากดินแดนต้นกำเนิดก็ยังคงแทรกซึมอยู่ทั่วแคว้นอันดาลูเซีย ทำให้ความน่าสนใจที่จะมาเยือนแคว้นนี้ของผมยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก ยิ่งไปกว่านั้นความเป็น ‘สเปน’ ที่เราคุ้นเคยหลายๆ อย่างต่างก็ถือกำเนิดขึ้นที่นี่ ทั้งกีตาร์กอร์โดบา ระบำฟลามิงโก กีฬาล่อวัวกระทิง ที่ล้วนถือกำเนิดมาจากแคว้นแห่งนี้ นี่เป็นเสน่ห์อันเหลือล้นที่ทำให้ผมเลือกเดินทางมาเยือนอย่างไม่ลังเล

 

ผมเริ่มต้นเที่ยวแคว้นนี้ที่เมืองกอร์โดบา เดินทางโดยรถไฟ Renfe จากกรุงมาดริด (Madrid) ประมาณ 2 ชั่วโมง เมืองนี้มีแลนด์มาร์กโดดเด่นอยู่ที่บริเวณริมแม่น้ำกวาดัลกีวีร์ (Guadalquivir) คือสะพานโบราณเปอร์ตา เดล ปวนเต (Puerta del Puente) และที่ปลายสะพานฝั่งเหนือเป็นที่ตั้งของมัสยิด มหาวิหารกอร์โดบา (Mezquita de Cordoba) ซึ่งเป็นศาสนสถานแบบผสมผสานทั้งคริสเตียนและอิสลาม สถาปัตยกรรมทั้งภายในและภายนอกจึงมีความสวยงามโดดเด่น แปลกตาจากโบสถ์อื่นๆ ในแคว้นนี้

 

(บน) สถาปัตยกรรมภายในมหาวิหารกอร์โดบา, (ล่าง) การเต้นฟลามิงโกสุดพลิ้วที่จัตุรัสพลาซา เดอ เอสปันญา

 

ถัดจากมหาวิหารเพียงไม่กี่ก้าวก็คือเขตชุมชนเล็กๆ ที่ปูถนนด้วยหิน ที่ผมค้นพบว่านี่เป็นชุมชนของชาวยิว (Juderia) ที่ปัจจุบันกลายเป็นโรงแรมที่พัก ร้านค้า และร้านอาหาร ซึ่งอาคารบ้านเรือนแถวนี้มีสีสันและรายละเอียดที่มีเอกลักษณ์ ถ้าหากมีเวลามาเยือนกอร์โดบา ควรเผื่อเวลามาทอดน่องที่ย่านนี้ เพื่อซึมซับบรรยากาศน่ารักๆ ของสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิตของคนในย่านนี้ด้วย

 

หลังจากจากกอร์โดบาไม่ถึงชั่วโมง ผมก็เดินทางมาถึงเมืองเซบียา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นนี้ เมืองนี้มีสถานที่สำคัญมากมายหลายแห่ง เนื่องจากมีอดีตอันยาวนาน จนปัจจุบันกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงิน วัฒนธรรม ศิลปะ และวิถีชีวิตของแคว้น หากต้องการเที่ยวชมโดยละเอียด แนะให้เผื่อเวลาไว้สักหลายวันหน่อย เพราะมีอะไรให้ชมอีกมากมาย

 

ความสวยงามของจัตุรัสพลาซา เดอ เอสปันญา และพระราชวังเรอัล อัลคาซาร์ เดอ เซบียา

 

หากเวลาของคุณค่อนข้างจำกัด โชคเข้าข้างคุณที่นี่ เพราะสถานที่สำคัญหลักๆ นั้นตั้งอยู่ไม่ไกลกันเลย สามารถโดยสารรถใต้ดินจากสถานีรถไฟประจำเมืองไป สำรวจเมืองได้อย่างทั่วถึง เริ่มต้นที่จัตุรัสพลาซา เดอ เอสปันญา (Plaza de España), พระราชวังเรอัล อัลคาซาร์ เดอ เซบียา (Real Alcázar de Sevilla), มหาวิหารประจำเมือง (Catedral  de Sevilla), หอคอยโตร์เร เดล โอโร (Torre del Oro), จัตุรัสใหม่พลาซา นูเอวา (Plaza Nueva) ลัดเลาะไปจนถึงสถาปัตยกรรมยุคใหม่โครงสร้างไม้รูปทรงยิ่งใหญ่อลังการอย่าง เมโทรโพล พาราซอล (Metropol Parasol) ซึ่งถ้ากำลังขาของคุณยังดีพอ ก็ขอแนะนำให้เดินเที่ยวมาเรื่อยๆ เพราะตลอดทางเป็นตึกยุคเก่าที่สวยงาม มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือพื้นที่แสดงงานศิลปะให้เพลิดเพลินได้เรื่อยๆ จนลืมความเมื่อยล้าเสียสนิท

 

เมืองซาฮารา เดอ ลา เซียร์รา

 

หลังจากเริ่มทำความคุ้นเคยกับแคว้นอันดาลูเซียได้สักพัก ผมก็พร้อมที่จะเดินทางแบบเจาะลึกไปหมู่บ้านสีขาวตามที่วาดหวังไว้ ซึ่งวิธีที่สะดวกที่สุดคือการขับรถเที่ยวไปเรื่อยๆ โดยเลือกที่จะเริ่มต้นจากเมืองเซบียา ขับออกไปนอกเมืองตามทางหลวงไปเรื่อยๆ เพื่อไปพบกับดินแดนสีขาวแห่งแรกที่เลือกไว้ นั่นคือเมือง ซาฮารา เดอ ลา เซียร์รา (Zahara de la Sierra) เมืองที่มีความโดดเด่นอยู่ที่ภูมิประเทศ เป็นหมู่บ้านที่สร้างไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ จากเนินเขาไปจนถึงยอดเขาสูงชัน โดยมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่วางตัวทอดยาวอยู่เบื้องหน้าถนนที่ตรงเข้าเมือง

 

อ่างเก็บน้ำสีฟ้าเข้มที่เคยเห็นเบื้องหน้ากลับกลายเป็นผืนน้ำสีฟ้าที่แผ่อยู่เบื้องล่าง

 

ไม่เพียงแต่ภาพเมืองที่มองจากภายนอกจะงดงามน่าหลงใหลแล้ว เมืองนี้เองยังมีความน่ารักเฉพาะตัว ทั้งตึกทั้งบ้านเรือนล้วนเป็นสีขาว ถนนเป็นตรอกเล็กๆ รถสวนกันได้ค่อนข้างลำบาก โดยเฉพาะจังหวะทางชันต้องใช้ความระมัดระวังในการขับเป็นอย่างมาก และเมื่อขึ้นมาถึงจุดชมวิวสูงสุดของเมือง ภาพอ่างเก็บน้ำสีฟ้าเข้มที่เคยเห็นเบื้องหน้ากลับกลายเป็นผืนน้ำสีฟ้าที่แผ่อยู่เบื้องล่าง ขนาบด้วยสีเขียวหลายโทนจากภูเขาโดยรอบ ตัดกับภาพบ้านเรือนสีขาวที่ลดหลั่นกันไปตามภูมิประเทศ เป็นภาพทิวทัศน์ที่น่าประทับใจอย่างมาก บรรยากาศแตกต่างจากเมืองใหญ่ที่เพิ่งขับรถจากมาอย่างสิ้นเชิง

 

เราขึ้นรถแล้วพาตัวเองค่อยๆ ไกลออกจากซาฮารา เดอ ลา เซียร์รา 45 นาทีผ่านไป ผมเดินทางมาถึง เซเตนิล เดอ ลาส โบเดกาส (Setenil de las Bodegas) เมืองนี้ทำเลที่ตั้งโดดเด่นสู้เมืองแรกที่ผมไปไม่ได้ แต่เหตุผลที่ทำให้ผมอยากมาก็เพราะเอกลักษณ์อยู่ที่การสร้างบ้าน ร้านค้า ร้านอาหารที่อยู่ใต้ช่องผา อันเป็นสิ่งที่นักเดินทางเช่นผมไม่เคยพบเห็นมาก่อน และก็ไม่ทำให้ผิดหวังสักนิด

 

เข้าสู่เมืองเซเตนิล เดอ ลาส โบเดกาส

 

ใจกลางเมืองมหัศจรรย์แห่งหน้าผาที่มีประชากรเพียง 3,000 คนแห่งนี้ มีที่พักอาศัยคล้ายๆ ห้องแถวเล็กๆ เรียงตัวกันอยู่ใต้ผา แทรกไปตามหุบเขาที่ขนาบไปกับแม่น้ำ โดยผนังของบ้านก็ยังเป็นผนังหินดั้งเดิมอยู่ หินจากชะง่อนผาขนาดมหึมาพาดผ่านกลางถนนให้รถขับลอดผ่านไปได้ อันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเมืองนี้ ย่านกลางเมืองหาที่จอดรถค่อนข้างยาก หากคุณขับมา เราแนะให้จอดตามข้างทางของถนนที่เข้าเขตกลางเมือง และสาวเท้าเดินต่อเข้ามาแทน ระยะทางไม่ไกล แถมยังได้เดินชมบ้านเรือนสีขาวสวยงามตลอดทางอีกด้วย

 

สะพานโบราณอันน่าทึ่งแห่งรอนดา

 

เสร็จสิ้นจากการตามหาหมู่บ้านสีขาวช่วงแรก ผมก็ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเดินทางเข้าสู่เมืองรอนดา (Ronda) เมืองสำคัญทางศิลปวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวอีกแห่งของแคว้นอันดาลูเซีย เมืองเก่าแห่งนี้ตั้งอยู่บนที่ราบบนเขา มีหน้าผาสูงผ่าให้เมืองแยกออกเป็น 2 ฟาก โดยมีสะพานปวนเต นูเอโว (Puente Nuevo) อันยิ่งใหญ่สร้างเชื่อมเมืองทั้ง 2 ฟากเอาไว้ เมืองนี้ยังเป็นอีกเมืองที่ผมประทับใจ ทั้งบรรยากาศช่วงกลางวันและกลางคืนที่สวยงามน่าประทับใจไม่แพ้กันเลย และจุดที่ห้ามพลาดเป็นอย่างยิ่งคือ จุดชมวิวสะพานโบราณแห่งรอนดา (Mirador Puente Nuevo de Ronda) ที่ต้องเดินลัดเลาะลงมาตามไหล่เขาช่วงหนึ่ง บริเวณนี้ขอแนะนำว่าต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินและถ่ายรูปบริเวณจุดชมวิว เนื่องจากไม่มีรั้วหรือเสากั้นเอาไว้

 

White Villages of Andalucia

 

หลังพักเอาแรงที่เมืองรอนดาได้หนึ่งคืน ผมออกเดินทางต่อไปทางทิศใต้ของแคว้น โดยใช้ถนนหมายเลข 369 ต่อ 377 เป็นหลัก ซึ่งจุดหมายอยู่ที่เมืองกาเซเรส (Casares) ซึ่งเมืองนี้เองที่ทำให้ผมได้รู้จักกับ White Villages of Andalucia  ตลอดถนนหมายเลข 369 และ 377 เราผ่านหมู่บ้านสีขาวเล็กๆ หลายแห่งที่ตั้งอยู่ตามเนินเขา เริ่มต้นจากอาตาฮาเต (Atajate), เบนาดาลิด (Benadalid), อัลกาโตธิน (Algatocín) จนถึงโกธีน (Gaucin)

 

ความขาวของเมืองกาเซเรส

 

ตลอดทางนั้นสามารถแวะในเมือง เดินเที่ยวชม หาร้านกาแฟนั่งพักระหว่างทาง หรือแวะจุดชมวิวที่สามารถได้มุมถ่ายรูปเมืองต่างๆ ได้อย่างลงตัว ข้อควรระวังคือ ถนนทั้งเส้นนั้นเป็นถนน 2 เลนสวนกัน ลัดเลาะไปตามภูเขาสูงจึงต้องใช้ความระมัดระวังค่อนข้างมาก และควรเติมน้ำมันไว้ล่วงหน้า เนื่องจากมีสถานีบริการน้อยมากบนเส้นทางนี้ หลังจากเพลิดเพลินกับหมู่บ้านสีขาวท่ามกลางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่สวยไม่แพ้ที่ใดมาได้สักพัก ผมมาถึงเมืองกาเซเรส สวรรค์สีขาวโพลนแห่งสุดท้ายสำหรับการเดินทางครั้งนี้

 

ภาพของเมืองโกธีนอันน่าจดจำ

 

ความโดดเด่นของเมืองนี้คือจุดชมวิวบนยอดเขาสูงที่สามารถมองเห็นเมืองได้แบบ 180 องศา อากาศโปร่งจนเราสามารถมองไปได้ไกลถึงชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอันแสนสวย นอกจากจุดชมวิวแล้ว บริเวณใจกลางเมืองก็บรรยากาศดี โดยสามารถจอดรถไว้สักจุดแล้วเดินเล่นได้ทั่ว หลังจากพักให้หายเหนื่อยจากการเดินทางตามหาหมู่บ้านสีขาวที่อยู่ในใจมาหลายวัน ผมบอกลาและเก็บภาพอันแสนประทับใจเอาไว้ แล้วมุ่งสู่เมืองสุดท้ายของทริปนี้คือ กรานาดา

 

เมืองกรานาดาในยามเช้า

 

กรานาดานั้นเป็นเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้น มีความรุ่งเรืองมากในอดีต ซึ่งยึดครองโดยชาวมัวร์ และเป็นเมืองที่ตั้งสุดท้ายก่อนจะถูกยึดครองโดยชาวคริสเตียน อารยธรรมของชาวมัวร์ทั้งศิลปะ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมยังคงแทรกซึมและพบเห็นได้ทั่วเมืองกรานาดา โดยเฉพาะเขตเมืองเก่าอย่างอัลบายธิน (Albaycin) ที่ทำให้เมืองนี้มีเสน่ห์เหลือล้น จนได้สมญานามว่าเป็น ‘อัญมณีแห่งอันดาลูเซีย’

 

ร้านรวงภายในเมืองกรานาดาที่อยู่บนเนินเขาสูง

 

เมืองแห่งนี้ยังมีอนุสรณ์สถานที่มีความยิ่งใหญ่และโดดเด่นที่สุดในทางศิลปะและสถาปัตยกรรมของยุคนั้นที่ยังหลงเหลือให้คนรุ่นหลังได้ซึมซับถึงความงดงามล้ำค่า นั่นคือพระราชวังอาลัมบรา (Alhambra) พระราชวังอาลัมบรานั้นมีอายุยาวนานกว่า 700 ปี สร้างอยู่บนเนินเขาสูงกลางเมืองกรานาดาโดยมีภูเขาเซียร์ราเนวาดา (Sierra Nevada) เป็นฉากหลังทิวทัศน์ที่มีความผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมและภูมิประเทศได้อย่างลงตัว

 

พื้นที่หลักๆ ที่เปิดให้เข้าชมของพระราชวังแห่งนี้คือพระราชวังนาสริด (The Nasrid Palaces), อัลคาซาบา (Alcazaba) และเคเนราลิเฟ (Generalife) ซึ่งผมขอแนะนำว่าควรจัดเวลาให้เพียงพอและเยี่ยมชมให้ครบให้มากที่สุดเท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวย เพราะทุกจุดทุกมุมของพระราชวังนี้มีรายละเอียดมากมายให้เราได้ชม ทั้งงานหิน งานไม้ การแกะสลัก น้ำพุ สวน ช่องแสง กระจก กระเบื้อง ล้วนแล้วแต่มีความวิจิตรบรรจงตามแบบฉบับงานศิลปะของชาวมัวร์ ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่หลงใหลในงานฝีมือที่แสนละเอียดแล้ว คุณจะยิ่งตกหลุมรักพระราชวังแห่งนี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมผู้คนจากทั่วโลกถึงยอมมาเฝ้ารอคิวเพื่อจะได้เข้าชมที่นี่กันแต่เช้ามืด

 

ความสวยงามน่าทึ่งของพระราชวังอาลัมบรา

 

ทั้งนี้พระราชวังแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องการจองตั๋วที่ยากลำบากหากไปจองที่นั่นก่อนเข้าชม ดังนั้นการจองล่วงหน้าผ่านเอเจนซีช่วยให้ได้ตั๋วและวันเวลาที่แน่นอนกว่า แม้ราคาอาจจะแพงขึ้นแต่ก็คุ้มค่าตรงที่มีไกด์คอยพาชมและคอยอธิบายรายละเอียดโดยทั่ว เนื่องจากพระราชวังแห่งนี้มีรายละเอียดซับซ้อนและแตกต่างกันไปในแต่ละบริเวณ ที่สำคัญยังประหยัดเวลาต่อคิวซื้อบัตร (ผมเห็นกลุ่มคนที่เดินทางไปแล้วก็ต้องผิดหวังเนื่องจากพบว่าตั๋วของวันนั้นหมดแล้ว) ดังนั้นหากคุณไม่ได้วางแผนใช้เวลาที่เมืองนี้นานนัก ควรทำการจองล่วงหน้าเพื่อให้มั่นใจว่าได้เข้าชมความงามของพระราชวังแห่งนี้

 

รายละเอียดภายในพระราชวัง

 

นอกจากการเข้าชมพระราชวังอาลัมบรา สิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อมาเยือนกรานาดาคือการเดินเล่นย่านอัลบายธินซึ่งเป็นย่านเมืองเก่า มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟและที่พักมากมาย ท่ามกลางบรรยากาศคลาสสิกของสถาปัตยกรรมเก่าๆ รอบตัว และวิวของพระราชวังอาลัมบราบนยอดเขาฝั่งตรงข้าม อันเป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่ยากจะลืมได้ลง

 

ส่วนหากมีเวลาช่วงค่ำ แนะให้เดินเลยจากย่านอัลบายธิน เลียบคลองไปไม่ถึง 1 กิโลเมตร พบกับเขตซาโครมอนเต (Sacromonte) ซึ่งเมื่อตกค่ำ ร้านต่างๆ จะจัดแสดงระบำฟลามิงโกแบบดั้งเดิมอันสวยงาม โดยมีทั้งเข้าชมเฉพาะการแสดง หรือพร้อมมื้ออาหารเย็นอร่อยๆ ให้เลือก ทั้งนี้ควรศึกษาทำการจองล่วงหน้าไว้ก่อนเป็นดี

 

ระบำฟลามิงโกแบบดั้งเดิมอันสวยงามที่ซาโครมอนเต

 

หลังจากบรรลุจุดประสงค์ในการเดินทางมาแคว้นอันดาลูเซียครบทุกข้อ ผมก็ยิ่งหลงเสน่ห์ของแคว้นอันงดงามแห่งนี้เพิ่มขึ้นเท่าตัว

 

ภาพของสเปนที่เคยเห็นมาและคำบอกเล่าจากเพื่อนฝูงที่เคยมาเที่ยวแล้ว ถูกนำมาผสมรวมกันทั้งหมดกับประสบการณ์จริงที่มาสัมผัสด้วยตัวเอง ทำให้พูดได้เต็มปากกับว่าสเปนเป็นจุดหมายปลายทางที่สวยงาม สนุก คุ้มค่า และน่าประทับใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะแคว้นอันดาลูเซีย ที่ถ้าคุณมีโอกาสมาเยือนประเทศสเปน ผมคงทำได้แต่เพียงขอร้องให้คุณเตรียมพกเวลามาให้เหลือเฟือสำหรับแคว้นนี้เป็นพิเศษ เพื่ออิ่มเอมกับเสน่ห์ความเป็นสเปนแท้ๆ ที่รับรองว่าลืมไม่ลง

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising