ถึงคราว ‘สนามบินตราด’ ซึ่งบริหารงานโดยบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส จะถูกยกเครื่องครั้งใหม่ด้วยงบการลงทุนสูงกว่า 400 ล้านบาท ในการขยายรันเวย์ รวมถึงการปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร หลังจากคาดว่า จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“ก่อนหน้านี้มีสายการบินจีนอยากที่จะนำเครื่องบินไอพ่นมาลง แต่สนามบินยังไม่พร้อมและยังไม่มีโอกาสได้ปรับปรุงเพราะเจอโควิดเสียก่อน ตอนนี้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นเราเลยเห็นว่า เป็นช่วงที่เหมาะสมที่จะปรับปรุง” พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ระบุ
ตัวสนามบินตราดเปิดดำเนินการในปี 2546 บนพื้นที่ประมาณ 1,600 ไร่ ตั้งอยู่ ณ ตำบลท่าโสม อำเภอเขาสมิง ห่างจากตัวเมือง 35 กิโลเมตร และท่าเรือข้ามเกาะช้าง 17 กิโลเมตร ซึ่งเหตุผลที่เลือกทำเลนี้เพราะสามารถเดินทางไปยังเกาะช้างซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวมากกว่า ตัวสนามบินประกอบด้วยทางวิ่ง 1 ทางวิ่ง ระยะทาง 1,800 เมตร กว้าง 45 เมตร อาคารผู้โดยสารจำนวน 1 อาคาร
การเลือกช่วงเวลานี้ในการยกเครื่องมาจากตัวเลขของผู้โดยสารที่มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น โดยครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีจำนวนผู้โดยสารแล้วกว่า 40,427 คน และคาดว่าฤดูกาลท่องเที่ยวที่จะถึงนี้ จะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ตามแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่มาจากยุโรปมีการเติบโตเพิ่มขึ้นและคาดว่าเมื่อสิ้นปีจะอยู่ที่ประมาณ 80,000-90,000 คน
เฟสแรกจะเสร็จ Q3/69
การปรับปรุงในเฟสแรกนี้มีกำหนดจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ปี 2569 ประกอบด้วย การขยายรันเวย์ (Runway) จาก 1,800 เมตร เป็น 2,000 เมตร, การสร้างลานจอดอากาศยาน เพื่อรองรับเครื่องบินไอพ่นขนาดเล็ก–กลาง (A320, A319, B737, B717, ERJ145) ได้สูงสุด 3 ลำ หรือรองรับเครื่องบินใบพัด (ATR72, YS-11) 2 ลำ ร่วมกับเครื่องบินไอพ่นขนาดกลาง 2 ลำได้ในเวลาเดียวกันรวมถึงการปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร ขยายพื้นที่จาก 2,100 ตร.ม. เป็น 3,400 ตร.ม. เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารสูงสุด 250,000 คนต่อปี “เป้าหมายของเราคือการสร้างการเติบโตและการเดินทางสู่ตราดให้มากขึ้น การที่สนามบินสามารถรองรับเครื่องบินไอพ่นขนาด 100 กว่าที่นั่งได้ เปิดโอกาสให้มีเที่ยวบินจากต่างประเทศเข้ามา ซึ่งจะส่งผลให้การเติบโตของการท่องเที่ยวในพื้นที่ดีขึ้น” พุฒิพงศ์กล่าว
“เราคาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวจากจีนมีความสนใจพื้นที่นี้ เนื่องจากมีทะเล ผลไม้ อาหารที่ดี และการเดินทางสะดวก แม้ช่วงนี้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะน้อยลง แต่เชื่อว่าเมื่อชาวจีนกลับมาเดินทางอีกครั้ง ตราดจะเป็นจุดหมายที่น่าสนใจ อีกกลุ่มหนึ่งคือยุโรป แต่สนามบินตราดยังไม่สามารถรองรับเครื่องบินลำใหญ่จากยุโรปได้ในปัจจุบัน”
แม้จะไม่ได้ห่างกันมากนักแต่สนามบินตราดแตกต่างจากสนามบินอู่ตะเภาอย่างชัดเจน เนื่องจากอู่ตะเภาเป็นสนามบินหลักในเขตเมืองหลวง ซึ่งมีศักยภาพใหญ่กว่ามาก รองรับปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสารเทียบเท่ากับกรุงเทพฯ ในขณะที่ตราดเป็นสนามบินเมืองรอง แต่ก็มีโอกาสในการเติบโต
“สนามบินตราดจะไม่แข่งขันกับอู่ตะเภาโดยตรง โดยเฉพาะเที่ยวบินจากจีน หากเป็นเครื่องบินขนาดกลาง สามารถบินได้จากทางตอนใต้ของจีน หรือแม้กระทั่งเซี่ยงไฮ้ ใช้เวลาบินประมาณ 4 ชั่วโมง”
ขณะเดียวกันภายหลังจากการลงทุน 400 ล้านบาท สนามบินตราดจะมีศักยภาพที่จะเข้ากองทรัสต์ได้ แต่ต้องใช้เวลาอีกสักพัก โดยต้องพิจารณาการเติบโตของจำนวนผู้โดยสารและจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากตอนนี้ยังถือว่ามีขนาดเล็ก
ถึงการลงทุนในครั้งนี้จะสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้อีก 4-5 ปี แต่บางกอกแอร์เวย์สยังมีแผนที่จะลงทุนต่ออีก 400 ล้านบาทสำหรับการสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่ โดยย้ายไปอยู่ทางด้านทิศใต้ของสนามบิน ขณะที่รันเวย์เพียงพอจึงไม่มีแผนที่จะขยาย
ปัจจุบันสายการบินบางกอกแอร์เวย์สให้บริการเที่ยวบินประจำ กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) – ตราด (ไป–กลับ) วันละ 2 เที่ยวบิน ด้วยเครื่องบิน ATR72-600 ขนาด 70 ที่นั่ง และจะเพิ่มความถี่เป็นวันละ 3 เที่ยวบินตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 เพื่อรองรับการเดินทางช่วงไฮซีซั่น
ยังสนใจโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา
อย่างไรก็ตาม พุฒิพงศ์ยังกล่าวถึงเรื่องลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ที่ร่วมกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS และ บริษัท ซิโน – ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ที่แม้จะล่าช้าออกไป แต่ยังสนใจอยู่
สำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออกเป็นการพัฒนาสนามบินนานาชาติหลักแห่งที่ 3 ของประเทศไทยและธุรกิจต่อเนื่อง ภายใต้ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกพ.ศ. 2561 เพื่อรองรับการขยายตัวของพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเชื่อมโยงการขนส่งผู้โดยสารกับสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง และเป็น Aviation Hub ที่สำคัญในภูมิภาค
พุฒิพงศ์ระบุถึงการยื่นเรื่องขอปรับปรุงแผนการพัฒนาจากเดิมที่จะลงทุนพัฒนาอาคารผู้โดยสารในเฟสแรกให้รับได้ 12 ล้านคนต่อปี ตอนนี้จะปรับแผนให้รองรับ 3 ล้านคนก่อน หากมีจำนวนผู้โดยสารขึ้นประมาณ 70-80% ของตัวเลขที่รองรับได้แล้ว ถึงจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จะไม่ทำทีเดียวเหมือนในช่วงแรก
“หากผู้โดยสารไม่เยอะก็ยังไม่คุ้มค่าที่จะลงทุน แต่ถ้าจำนวนนักท่องเที่ยวโตถึงจะเพิ่มจำนวนขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ที่สุดแล้วปลายทางใน 50 ปี คือการรองรับผู้โดยสารได้ 50 ล้านคนต่อปี” พุฒิพงศ์ กล่าวพร้อมเสริมว่า “เชื่อว่าสถานการณ์ทางการเมืองไม่น่าจะกระทบกับโครงการอู่ตะเภา เนื่องจากเป็นความต้องการของตลาดและการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินที่เราเชื่อว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง”
นอกจากนี้ยังจะมีการเจรจาเรื่องการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อดึงให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในเมืองการบิน การให้ใบอนุญาตร้านอาหารขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสิทธิเรื่องการขอใบอนุญาตทำงาน
ขณะที่แผนลงทุนในส่วนของงาน MRO (ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน) ร่วมกับการบินไทย มูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาทนั้น พุฒิพงศ์ยืนยันถึงแผนการลงทุนแต่จะปรับใหม่จากร่วมลงทุน เปลี่ยนเป็นทำในส่วนที่แต่ละบริษัทถนัด โดยบางกอกแอร์จะรับในส่วนของเครื่องบินขนาดเล็ก โดยจะใช้พื้นที่โรงซ่อมบำรุงประมาณ 30 ไร่ จากพื้นที่ 100 ไร่
“หากตั้งบริษัทร่วมทุนจะต้องขอใบอนุญาตใหม่ซึ่งใช้เวลาไปอีก เราเลยมองว่าการลงทุนในสิ่งที่ตัวเองถนัดน่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมกว่าในการเดินหน้าโครงการ”
เพิ่มเครื่องบินอีก 2-3 ลำในปีหน้า
ด้านทิศทางของธุรกิจบางกอกแอร์เวย์สมีแผนการเพิ่มเที่ยวบินที่จะทยอยเข้ามา แม้ว่าปัจจุบันจะมีปัญหาเรื่องเครื่องบินในตลาด เนื่องจากการซ่อมบำรุง โรงผลิต และอะไหล่ยังขาดแคลน ซึ่งต้องใช้เวลาในการจัดหา คาดว่าจะสามารถเพิ่มเครื่องบินได้ประมาณ 2-3 ลำในปีหน้า เครื่องบินที่จะเพิ่มเข้ามาส่วนใหญ่จะเป็นการเช่า โดยมองที่รุ่น A320 และ A319
สำหรับเครื่องบิน ATR (อากาศยานขนาดเล็ก แบบใช้เครื่องยนต์เทอร์โบใบพัด 2 ตัว) เพิ่งเซ็นสัญญาใหม่ 10 ลำ ซึ่งจะเริ่มทยอยรับมอบตั้งแต่ปลายปีหน้าเป็นต้นไป ใช้เวลาส่งมอบประมาณ 3-5 ปี เครื่องบินใหม่ 10 ลำนี้ส่วนใหญ่จะนำมาใช้ในเส้นทางบินเดิม เพื่อทดแทนเครื่องบินเก่าที่มีอยู่
นอกจากนี้ยังมีแผนระยะยาวในการจัดหาเครื่องบิน 20 ลำ โดยเป็นเครื่องบินลำตัวแคบ (narrow-body) เช่น Airbus A320 หรือ Boeing 737 ซึ่ง Boeing 737 Max 7 มีกำหนดจะออกสู่ตลาดในปีหน้า สำหรับการจัดหาจะเป็นการเช่าหรือซื้อยังไม่สามารถระบุได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อแผนนี้เสร็จสิ้นคาดว่าจะมีเครื่องบินรวมประมาณ 40 ลำ ซึ่งเป็นจำนวนที่บางกอกแอร์เวย์สเคยมีมาก่อนหน้านี้