การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (1 ตุลาคม) ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ เพื่อยกระดับมาตรฐานการทำงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้เสมอกับมาตรฐานสากล
โดย ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่าการแก้กฎกระทรวงดังกล่าวก็เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าให้สอดคล้องมาตรฐานสากลด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (International Standards on Combating Money Laundering and the Financing of Terrorism and Proliferation) และเพื่อให้การบังคับใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการแก้กฎกระทรวงครั้งนี้มีสาระสำคัญคือ
1. กำหนดบทนิยามคำว่า ‘ลูกค้า’ ‘บุคคลที่มีการตกลงกันทางกฎหมาย’ ‘ความสัมพันธ์ทางธุรกิจ’ ‘ธุรกรรมเป็นครั้งคราว’ ฯลฯ
2. กำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 ต้องดำเนินการประเมิน บริหาร และบรรเทาความเสี่ยงด้านการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง โดยคำนึงถึงปัจจัยความเสี่ยงอันเกิดจากลูกค้า พื้นที่หรือประเทศ ผลิตภัณฑ์ บริการ ธุรกรรม หรือช่องทางในการให้บริการ
3. กำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 ดำเนินการระบุตัวตนและพิสูจน์ทราบตัวตนของลูกค้า รวมทั้งทำความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะธุรกิจของลูกค้า ตลอดจนโครงสร้างการบริหารจัดการหรือการเป็นเจ้าของ และอำนาจในการควบคุมนิติบุคคลหรือบุคคลที่มีการตกลงกันทางกฎหมายนั้นด้วย
4. กำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 ต้องดำเนินการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงในระดับที่เข้มข้นที่สุด หากพบว่าลูกค้ามีความเสี่ยงสูงจนอาจเป็นเหตุให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงินหรือการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 ต้องปฏิเสธการสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจ ไม่ทำธุรกรรม ยุติความสัมพันธ์ทางธุรกิจ หรือไม่ทำธุรกรรมเป็นครั้งคราวกับลูกค้าดังกล่าว และรายงานเป็นธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยต่อสำนักงาน
5. กำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 อาจลดระดับความเข้มข้นในการดำเนินการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำลงได้
6. กำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 ดำเนินการบริหารความเสี่ยงด้านการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
สำหรับลูกค้าที่ทำธุรกรรมเป็นครั้งคราวที่มีความเสี่ยงสูง โดยต้องดำเนินการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าที่ทำธุรกรรมเป็นครั้งคราวดังกล่าวในระดับที่เข้มข้นที่สุด ในกรณีที่ลูกค้าที่ทำธุรกรรมเป็นครั้งคราวมีความเสี่ยงสูงจนอาจเป็นเหตุให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน
หรือการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 ต้องไม่ทำธุรกรรมกับลูกค้าที่ทำธุรกรรมเป็นครั้งคราวดังกล่าว และรายงานเป็นธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยต่อสำนักงาน
7. กรณีที่มีการให้บริการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ข้ามประเทศที่มี ‘มูลค่าตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป’ สถาบันการเงินผู้ส่งคำสั่งโอนและสถาบันการเงินผู้รับคำสั่งโอนต้องดำเนินการส่งและรับข้อมูลของผู้โอนและผู้รับโอนพร้อมคำสั่งโอนเงิน โดยต้องจัดให้คำสั่งโอนเงินมีข้อมูลของผู้โอนและผู้รับโอน
8. กรณีการสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับสถาบันการเงินตัวแทนประเภทการชำระเงินโดยผ่านบัญชีโดยตรง สถาบันการเงินต้องรับรองได้ว่าสถาบันการเงินตัวแทนต้องดำเนินการบริหารความเสี่ยงและตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า และจะให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงและการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้ารายนั้นแก่สถาบันการเงินตามที่ได้รับการร้องขอ
9. กำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 ต้องดำเนินการตามนโยบายและระเบียบวิธีการเกี่ยวกับการควบคุมภายในที่เหมาะสมกับความเสี่ยงด้านการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงภายในองค์กรและขนาดธุรกิจของสถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์