หลังจากที่ได้รับชมตัวอย่างของ Train to Busan: Peninsula ฝ่านรก ซอมบี้คลั่ง ภาพยนตร์ภาคต่อของ Train to Busan (2016) ที่อัพสเกลงานสร้างให้ยิ่งใหญ่กว่าภาคแรกทั้งงานวิชวลเอฟเฟกต์ งานโปรดักชัน ฉากแอ็กชันระดับฮอลลีวูด ซึ่งก็น่าจะพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเรื่องราวภาคต่อของฝูงซอมบี้คลั่งในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานทะเยอทะยานที่จะพาอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีก้าวขึ้นสู่ระดับโลกไปอีกหนึ่งขั้น
ก่อนที่เราจะไปติดตามเรื่องราว 4 ปีให้หลัง THE STANDARD POP รวบรวม 4 เกร็ดน่าสนใจที่คุณไม่ควรพลาด ก่อนหนีเอาตัวรอดจากฝูงซอมบี้คลั่งไปพร้อมกัน เริ่มต้น 23 กรกฎาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
1. Train to Busan จุดเริ่มต้นของจักรวาลซอมบี้คลั่งที่ไม่ได้มีดีแค่ความลุ้นระทึก
Train to Busan คือผลงานการกำกับของ ยอนซังโฮ (The King of Pigs, The Fake) ที่หยิบนำวัตถุดิบชั้นเยี่ยมอย่างซอมบี้มาเป็นจุดขายหลักของเรื่อง เสริมทัพด้วยเหล่านักแสดงนำมากความสามารถอย่าง กงยู, มาดงซอก, จองยูมี, คิมซูอัน ฯลฯ ที่พาผู้ชมไปร่วมลุ้นระลึกกับการเอาตัวรอดจากฝูงซอมบี้คลั่งในขบวนรถไฟ KTX ที่มุ่งหน้าสู่ปูซาน
โดย Train to Busan ได้รับเลือกให้เข้าฉายแบบพรีเมียร์รอบมิดไนต์ที่ Cannes Film Festival ในปี 2016 ก่อนที่จะสร้างปรากฏการณ์ด้วยการกวาดรายได้ทั่วโลกไปกว่า 98.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ภาพยนตร์ยังได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์หลายสำนัก โดยเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Rotten Tomatoes ได้การันตีด้วยคะแนนมะเขือเทศสดที่สูงถึง 94%
แต่นอกจากความลุ้นระทึกและฝูงซอมบี้ที่ถูกออกแบบมาได้อย่างมีเสน่ห์ไม่แพ้ภาพยนตร์ฮอลลีวูด อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามคือเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและลูกอย่าง ซอกอู (กงยู) นักธุรกิจหนุ่มที่ค่อยๆ เรียนรู้บทเรียนของคนเป็นพ่อจาก ซูอัน (คิมซูอัน) ลูกสาวของตัวเอง
การตีแผ่ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ที่เอารัดเอาเปรียบกันในเวลาคับขันได้อย่างแสบสัน รวมถึงการตั้งคำถามให้ผู้ชมได้ร่วมกันขบคิดว่าเราอยากเป็นผู้ใหญ่แบบไหนในสายตาเด็กๆ
ด้วยพลังของกองทัพนักแสดงคุณภาพ งานโปรดักชันที่ถูกออกแบบมาได้อย่างยอดเยี่ยม และเรื่องราวอันลึกซึ้งที่มีมากกว่าแค่การหนีฝูงซอมบี้ ทั้งหมดทั้งมวลคือหัวใจสำคัญที่ทำให้ Train to Busan กลายเป็นภาพยนตร์เกาหลีที่ประสบความสำเร็จไปทั่วโลก ซึ่งนำมาสู่เรื่องราวภาคต่อที่อัพสเกลให้ยิ่งใหญ่และลุ้นระทึกยิ่งกว่าเดิมใน Train to Busan: Peninsula
2. Peninsula จากปูซานสู่คาบสมุทรเกาหลี เรื่องราว 4 ปีให้หลังแห่งความพินาศ
Train to Busan: Peninsula ว่าด้วยเรื่องราว 4 ปีให้หลังจากภาคแรก เมื่อคาบสมุทรเกาหลีถูกครอบครองโดยฝูงซอมบี้คลั่ง จนทำให้เหล่าผู้รอดชีวิตต้องหลบซ่อนอยู่ในเงามืด และนำมาสู่การสร้างระบบการปกครองอันป่าเถื่อน
วันหนึ่ง จองซอก (คังดงวอน) ชายหนุ่มที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์เมื่อ 4 ปีก่อน ได้รับข้อเสนอให้ไปช่วยกู้รถบรรทุกที่จอดทิ้งร้างอยู่กลางกรุงโซล ซึ่งหากทำสำเร็จ เขาและพรรคพวกจะได้เงินรางวัลกว่า 2 ล้านดอลลาร์ จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางฝ่าฝูงซอมบี้ที่มีกฎเพียงข้อเดียวที่พวกเขาต้องยึดมั่นคือ ‘จงรอดตาย’
เรียกได้ว่าเป็นการอัพสเกลของจักรวาลซอมบี้คลั่งให้ยิ่งใหญ่และดุเดือดขึ้นเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะฉากแอ็กชันที่ผู้กำกับยอนซังโฮได้รับแรงบันดาลใจมาจากสองภาพยนตร์ระดับตำนานอย่าง Mad Max และ Akira กับฉากขับรถไล่ล่าความยาวกว่า 20 นาทีที่ยอนซังโฮใส่แรงกายและแรงใจเพื่อสร้างสรรค์ฉากสุดระทึกฉากนี้ขึ้นมา
โดยยอนซังโฮได้เล่าถึงเบื้องหลังงานสร้างที่เขาทุ่มสุดตัวให้กับฉากขับรถไล่ล่าเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “ไอเดียแรกของผมคือให้เด็กผู้หญิงขับรถบรรทุก ขั้นตอนออกแบบฉากนี้กินเวลากว่า 3 เดือน เพราะรถที่เราใช้ถ่ายจะติดอุปกรณ์เสริมพิเศษเพื่อให้ได้ภาพแบบที่เราต้องการ มันค่อนข้างละเอียดอ่อนมาก เพราะแค่ฉากนี้ฉากเดียว ผมใช้เวลากับมันถึง 6 เดือน เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกอินเหมือนได้ขับรถไล่ล่าในดินแดนหลังวันสิ้นโลกครับ”
3. คังดงวอน, อีจองฮยอน และอีเร สามนักแสดงคุณภาพที่จะพาผู้ชมออกเดินทางฝ่าฝูงซอมบี้คลั่ง
นอกจากฉากแอ็กชันและงานสร้างที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้คือเหล่าทัพนักแสดงมากความสามารถที่จะมาพาผู้ชมออกเดินทางฝ่าฝูงซอมบี้ในครั้งนี้
นำโดย คังดงวอน นักแสดงหนุ่มผู้ได้รับการยกย่องจากแฟนๆ ให้เป็นหนึ่งในสี่สมบัติแห่งชาติเกาหลี ที่เคยฝากผลงานการแสดงมาแล้วหลายเรื่องอย่าง Golden Slumber (2018), The Secret Reunion (2010), Romance of Their Own (2004) ฯลฯ โดยเขาจะมารับบทเป็น จองซอก ชายหนุ่มที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ 4 ปีก่อน ซึ่งเขาจะต้องออกเดินทางฝ่าฝูงซอมบี้คลั่งเพื่อทำภารกิจสำคัญให้สำเร็จ
อีจองฮยอน นักแสดงหญิงมากความสามารถที่เคยฝากผลงานการแสดงเอาไว้มากมายอย่าง A Petal (1996), Roaring Currents (2014), Alice in Earnestland (2015), Battleship Island (2017) โดยในครั้งนี้เธอจะมารับบทเป็น มินจอง นักรบสาวสุดแกร่งที่ต้องปกป้องลูกสาวทั้งสองคนด้วยกำลังของตัวเอง
และ อีเร อีกหนึ่งนักแสดงสาวรุ่นใหม่ที่เคยพิสูจน์ความสามารถให้ผู้ชมได้เห็นมาแล้วอย่าง Hope (2013), How to Steal a Dog (2014), A Melody to Remember (2016), Seven Years of Night (2018) ที่จะมารับบทเป็น จุนอี เด็กสาวขาซิ่งที่มีสกิลการขับรถขั้นเทพเพื่อเอาตัวรอดจากเหล่าฝูงซอมบี้ไปพร้อมๆ กับการปกป้องน้องสาวของตัวเอง ซึ่งผู้กำกับอย่างยอนซังโฮได้ให้สัมภาษณ์ถึงความพิเศษของตัวละครตัวนี้เอาไว้ว่า
“บทบาทของเธอในเรื่องนี้เป็นตัวขโมยซีนขนานแท้ และโดดเด่นไม่แพ้มาดงซอกจาก Train to Busan เลยทีเดียว”
โดยนักแสดงหนุ่มคังดงวอนได้กล่าวถึงเบื้องหลังการทำงานที่เขาได้มีส่วนร่วมในครั้งนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า
“บรรยากาศกองถ่ายดีมากๆ ครับ แค่ได้เห็นความสุขในการทำงานของทีมงานก็ทำให้ผมรู้สึกอารมณ์ดีมากๆ แน่นอนครับว่าการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องหนึ่งมันก็ต้องมีเหนื่อยบ้าง แต่มันก็มีความสุขมากๆ โดยเฉพาะเรื่องนี้ที่การถ่ายทำราบรื่น และเห็นทุกคนสนุกไปกับมัน”
4. จับตาเหล่าตัวละครที่รอดชีวิตจาก Train to Busan ที่อาจมาปรากฏตัวใน Peninsula
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าติดตามไม่แพ้กันคือเรื่องราวของผู้รอดชีวิตจาก Train to Busan อย่าง ซองคยอง (จองยูมี) ภรรยาของซังฮวา (มาดงซอก) และซูอัน (คิมซูอัน) ลูกสาวของซอกอู (กงยู) ที่สามารถเอาตัวรอดและเดินทางมาถึงปูซานได้สำเร็จ
ซึ่งเราก็คงจะต้องไปร่วมลุ้นกันในโรงภาพยนตร์ว่าเรื่องราว 4 ปีให้หลังของ Train to Busan: Peninsula จะมีการเปิดเผยเรื่องราวของทั้งสองตัวละครนี้หรือไม่ รวมถึงตัวละครอื่นๆ ที่อาจจะมาเซอร์ไพรส์ผู้ชมด้วยการมาเป็นหนึ่งในฝูงซอมบี้ที่จะมาไล่ล่าเหล่าตัวละครหลักในภาคนี้ก็เป็นได้
เตรียมหนีเอาตัวรอดจากฝูงซอมบี้คลั่งที่ถูกอัพสเกลให้โหดยิ่งกว่าใน Train to Busan: Peninsula 23 กรกฎาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
สามารถรับชมตัวอย่างภาพยนตร์ได้ทาง
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: