ไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบินได้ไปต่อ! EEC เร่งเคลียร์ค่าสัมปทานซีพี พร้อมลุยโรดโชว์ดึงบิ๊กคอร์ป

เลขาคนใหม่ EEC สานต่อโปรเจกต์รถไฟไฮสปีด เชื่อม 3 สนามบิน หลังเร่งเคลียร์ค่าสัมปทานจากเหตุสุดวิสัยกับซีพี แต่ยอมรับว่าจะล่าช้ากว่าแผนปี 2570 เพราะต้องรอรัฐบาลใหม่ พร้อมปัดฝุ่นบิ๊กโปรเจกต์ MRO พื้นที่ 200 ไร่ให้การบินไทย จ่อโรดโชว์จีบนักลงทุนบิ๊กคอร์ป อิตาลี-สวิตเซอร์แลนด์ มาลงทุนในอุตสาหกรรมยา-โรงพยาบาล ดันไทยขึ้นแท่น Medical Hub Wellness ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์

สั่งเดินหน้าโปรเจกต์ ‘รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน’

จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ EEC กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) มูลค่า 2.24 แสนล้านบาท ระยะทาง 220 กิโลเมตร ซึ่งเป็น 1 ใน 4 โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่บนพื้นที่ EEC ว่า EEC ยังคงผลักดันโครงการต่อ ล่าสุดได้เจรจากับทางผู้ชนะประมูล (บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือซีพี) ในประเด็นที่เอกชนขอให้มีการแก้ไขสัญญา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด และวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้การดำเนินโครงการล่าช้ากว่าแผน อาจทำให้โครงการเสร็จหลังปี 2570

โดยภายใต้สัญญาต้องเพิ่มข้อความ “หากเกิดเหตุสุดวิสัยสามารถเปิดเจรจาและแก้ไขสัญญาได้” เป็นไปตามหลักการที่ทางคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ได้เห็นชอบแล้ว จากนี้จะรอสรุปผลการเจรจา เช่น การจ่ายค่าสัมปทาน และเสนอเข้า ครม. ในรัฐบาลใหม่ เช่นเดียวกันกับโครงการเมืองการบินที่สามารถแก้ไขสัญญาได้เช่นกัน

ปัดฝุ่น MRO บนพื้นที่ 200 ไร่ให้การบินไทย

นอกจากนี้ EEC เตรียมหยิบยกโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา (MRO) กลับมาหารืออีกครั้ง โดยไม่จำเป็นต้องรื้อแผน และใช้พื้นที่เดิม 200 ไร่ ให้กับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อลงทุนศูนย์ซ่อมฯ ส่วนพื้นที่อื่นที่เหลือประมาณ 300 ไร่ ยังคงต้องเจรจาเพื่อดึงนักลงทุนรายอื่นๆ ที่สนใจ

อย่างไรก็ตาม ยอมรับในช่วงที่ผ่านมาการลงทุนและกิจกรรมที่เกิดในพื้นที่ EEC แผ่วเล็กน้อย ดังนั้นในแผนปี 2565 จำเป็นที่ต้องกระตุ้นให้เกิดการลงทุนกลับมา โดยจะเริ่มที่การโรดโชว์ต่างประเทศ กลางเดือนเมษายนนี้เตรียมเดินทางไปที่ประเทศอิตาลี เพื่อพบนักลงทุนในอุตสาหกรรมยา เนื่องจากอิตาลีมีบริษัทยารายใหญ่ ขณะที่ไทยมีจุดแข็งในอุตสาหกรรมปลายน้ำคือบุคลากรทางการแพทย์และโรงพยาบาล ซึ่งหากได้นักลงทุนที่เป็นผู้ผลิตเข้ามาจะทำให้ไทยเป็น Medical Hub ตามแผน รวมถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อพบนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน เช่น ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

โฟกัส 5 คลัสเตอร์หลัก ‘ล่านักลงทุนบิ๊กคอร์ป’

ส่วนแผนดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายยังคงโฟกัส 5 คลัสเตอร์หลัก คือ การแพทย์สุขภาพ, นวัตกรรมดิจิทัล/อิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์, เศรษฐกิจ, BCG และบริการ ซึ่งทั้ง 5 คลัสเตอร์นี้จะเป็นตัวมาช่วยขับเคลื่อน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ให้ได้ตามเป้า 4 แสนล้านบาทต่อปี จากช่วงปีที่ผ่านมาจะพบว่า 5 อันดับที่เข้ามาลงทุน ได้แก่ ญี่ปุ่น, จีน, สิงคโปร์, สหรัฐอเมริกา และฮ่องกง

“แผนนี้จะไว้ใช้ล่านักลงทุนรายใหญ่ๆ และรายใหม่ๆ และจากนี้เราจะชี้เป้าเจาะไปเลยว่า ถ้าเขามา เขาต้องมาลงในพื้นที่ไหนถึงจะเหมาะสม ส่วนความกังวลที่หากมีการปรับเปลี่ยนรัฐบาลชุดใหม่แล้วจะไม่เดินหน้าผลักดัน EEC ต่อนั้น มองว่าหากรัฐบาลชุดใหม่จะโยน EEC ทิ้ง เขาต้องฉีกกฎหมายทิ้ง แต่ผมเชื่อว่า EEC เป็นของดีพอที่จะไม่โดนโยนทิ้งง่ายๆ ต้องไปต่อ ช่วงนี้เป็นโมเมนตั้มที่ดีที่นักลงทุนต่างย้ายฐานการผลิตมาพอสมควร แต่หากจะมีการพัฒนาพื้นที่อื่นก็สามารถทำได้ เพราะแต่ละโปรดักต์ไม่เหมือนกัน” จุฬาย้ำ

เป้าหมายลงทุนปี 2565-2569 2.2 ล้านล้านบาท

สำหรับการเข้ามารับตำแหน่งเลขาคนใหม่ EEC จุฬากล่าวว่า มีเป้าหมายผลักดันให้ EEC เป็นต้นแบบของการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืนต่อไป มากไปกว่านั้นอยากจะพัฒนา EEC ให้สอดคล้องกับบริบทโลกในอนาคต โดยต้องการให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ EEC ในปี 2565-2569 อยู่ที่ 2.2 ล้านล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละประมาณ 4.4-5 แสนล้านบาท เป็นส่วนของการต่อยอดโครงสร้างพื้นฐาน 2 แสนล้านบาท อุตสาหกรรมเป้าหมาย 4 แสนล้านบาทต่อปี และที่เหลือคือการยกระดับชุมชนและประชาชน

“ผมเริ่มทำหน้าที่เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2566 จะเน้นบริหารงานให้ EEC เป็นต้นแบบการพัฒนาพื้นที่ยั่งยืน เศรษฐกิจชุมชนที่มีศักยภาพ โดยจะเร่งพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนระดับหมู่บ้าน E-Commerce พัฒนาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ Wellness รวมไปถึงพัฒนาด้านการศึกษา และจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนในพื้นที่ EEC ท้ายที่สุดก็จะดีต่อประเทศไทย” จุฬากล่าวทิ้งท้าย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: