ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นอย่าง Toyota เปิดเผยตัวเลขผลกระทบจาก ‘กำแพงภาษี’ รถยนต์ที่กำหนดโดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าจะสร้างต้นทุนที่สูงขึ้นให้กับบริษัทถึง 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4.3 หมื่นล้านบาท ในช่วงเวลาเพียง 2 เดือน คือ เมษายนและพฤษภาคม 2025
ข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยในการแถลงข่าวประจำปีงบประมาณของ Toyota ที่สิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2025 โดยบริษัทย้ำถึงแรงกดดันด้านผลกำไรจากมาตรการภาษี 25% ที่รัฐบาลทรัมป์บังคับใช้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อรถยนต์นำเข้าสหรัฐฯ ประมาณ 8 ล้านคันต่อปี
จากผลกระทบดังกล่าวและปัจจัยอื่นๆ Toyota คาดการณ์ว่า ‘ผลกำไรจากการดำเนินงาน’ ในปีงบประมาณปัจจุบัน (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2026) จะลดลงถึง 21% เหลือ 3.8 ล้านล้านเยน เทียบกับ 4.8 ล้านล้านเยนในปีงบประมาณก่อน โดยตัวเลข 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากภาษีใน 2 เดือนแรกนั้นถูกรวมอยู่ในการคาดการณ์นี้แล้ว
โคจิ ซาโตะ ซีอีโอของ Toyota ระบุว่า เป็นเรื่องยากมากที่จะคาดการณ์ผลกระทบจากภาษีในอนาคต เนื่องจาก ‘รายละเอียดของภาษียังไม่นิ่ง’ ซึ่ง โยอิจิ มิยาซากิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน กล่าวเสริมว่า ยังมีการเจรจาเกี่ยวกับภาษีนี้อยู่
Toyota ยืนยันว่าจะพิจารณาสถานการณ์และดำเนินการที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสมพร้อมย้ำว่า การ ‘รีบขึ้นราคา’ เพียงเพราะภาษีที่สูงขึ้นไม่ใช่แนวทางที่ Toyota กำลังพิจารณา
ผลกระทบจากภาษีนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ Toyota ผู้ผลิตยานยนต์รายอื่นๆ ในอุตสาหกรรมก็ออกมาระบุถึงความเสียหายเช่นกัน
General Motors (GM) ได้ปรับลดคาดการณ์กำไรปี 2025 โดยประเมินว่าภาษีของทรัมป์จะสร้างต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างน้อย 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ Ford ยืนยันว่าจะขึ้นราคารถยนต์ 3 รุ่นที่ผลิตในเม็กซิโกสูงสุดถึง 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ จากมาตรการภาษีเดียวกันนี้
โดยรวมแล้ว ภาษีนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศ เมื่อรวมกับภาษีตอบโต้จากประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ คาดว่าจะนำไปสู่การขึ้นราคาขายให้กับผู้บริโภคโดยตรง
โดยบริษัทที่ปรึกษา Anderson Economic Group (AEG) คาดการณ์ว่า ราคารถยนต์ต่อคันอาจเพิ่มขึ้นได้ตั้งแต่ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ถึง 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นอยู่กับรุ่น
นอกเหนือจากภาษี Toyota ยังเผชิญปัจจัยลบอื่นๆ ในการคาดการณ์ผลประกอบการปีนี้ เช่น ผลกระทบจาก เงินเยนแข็งค่าซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ความต้องการของผู้บริโภคลดลง
ในภาพรวม อุตสาหกรรมยานยนต์ก็เตือนถึงราคาค้าปลีกสูงขึ้น ต้นทุนพุ่งสูง และ ยอดขายลดลงด้วย โดย S&P Global ได้ปรับลดคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ในสหรัฐฯ ปี 2025 ลงถึง 700,000 คัน
ความซับซ้อนและลักษณะที่แปรผันอย่างรวดเร็วของสงครามการค้าในยุคทรัมป์ ทำให้การวางแผนในอนาคตยิ่งยากขึ้นไปอีก แม้จะมีคำสั่งพิเศษจากทรัมป์ที่อนุญาตให้ผู้ผลิตหักลบภาษีได้เมื่อมีการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศ
แต่สถานการณ์ในอุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวมยังคงอยู่ในช่วงที่ผันผวนอย่างยิ่งซึ่ง Toyota เองก็ยอมรับว่าต้องพิจารณาการ ‘จัดสรรรถยนต์’ ให้เหมาะสมในระยะสั้น และอาจต้องชดเชยผลขาดทุนในตลาดอื่นๆ แทน
อ้างอิง: