ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำในญี่ปุ่นอย่างโตโยต้า ฮอนด้า และนิสสัน รวมทีมกันช่วยสร้างสถานีชาร์จไฮโดรเจนในประเทศญี่ปุ่น หวังต่อกรกับค่ายผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศจีนและเยอรมนี ตั้งเป้าสร้างอีก 80 แห่งภายใน 4 ปีข้างหน้านี้ จากปัจจุบันที่มีอยู่แล้ว 101 แห่ง
โตโยต้า ฮอนด้า และนิสสัน ร่วมกับบริษัทพลังงาน ผู้ค้าก๊าซธรรมชาติและ Air Liquide ผู้ผลิตก๊าซในฝรั่งเศสรวมกว่า 11 แห่ง เตรียมร่วมทีมกันสร้างสถานีชาร์จไฮโดรเจนอีกกว่า 80 แห่งภายในปี 2022 เพิ่มจาก 101 แห่งที่มีอยู่ในปัจจุบันภายใต้โครงการ ‘Japan H2 Mobility’ โดย ชิเกกิ เทราชิ (Shigeki Terashi) รองประธานบริหารบริษัทโตโยต้าให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า โตโยต้าเชื่อในเรื่องของความร่วมมือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าการแข่งขัน
โครงการ ‘Japan H2 Mobility’ หรือ ‘JHyM’ เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของค่ายผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทพลังงานในญี่ปุ่นที่ต้องการผลักดันนโยบายและกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยให้เกิดสังคมของรถยนต์พลังงานสะอาด (ในที่นี้หมายถึงรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนซึ่งสะอาดกว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV Vehicle) และการจะทำได้เช่นนั้นพวกเขาจำเป็นต้องมีโครงสร้างขั้นพื้นฐานอย่างสถานีชาร์จไฮโดรเจนที่มากเพียงพอเสียก่อน ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงของ JHyM เชื่อว่าถ้าสถานีชาร์จเหล่านี้และรถยนต์เชื้อเพลิงไฮโดนเจนได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อช่วยลดต้นทุนด้านราคาก็จะเป็นผลดีอย่างแน่นอน
ฮิเดคิ ซุกาวาระ ประธานบริษัท JHyM บอกว่า “ยกเว้นในกรณีที่ทีมพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานร่วมมือกัน สถานีชาร์จไฮโดรเจนใหม่ๆ ก็มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นตามบริเวณเขตเมืองต่างๆ”
ปัจจุบันญี่ปุ่นกำลังมุ่งพัฒนาเชื้อเพลิงเหลวที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างไฮโดรเจนและออกซิเจนแล้วก่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้า ซึ่งจะให้พลังงานไฟฟ้าสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมต่อยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน โดยรัฐบาลและค่ายรถยนต์จากแดนอาทิตย์อุทัยตั้งภาพใหญ่ไว้ว่าทั้งประเทศจะต้องมีสถานีชาร์จไฮโดรเจนให้บริการมากกว่า 160 แห่งและผลิตรถยนต์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนให้ได้มากกว่า 40,000 คันภายในเดือนมีนาคมปี 2020 นี้
ปลายปี 2014 ที่ผ่านมา โตโยต้าได้เปิดตัว ‘Toyota Mirai’ รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนที่ขายในตลาดกระแสหลักคันแรกของโลก สนนราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 6.7 ล้านเยนหรือประมาณ 2 ล้านบาท โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อขับเคลื่อนตลาดรถยนต์รักษ์สิ่งแวดล้อม ส่วนนิสสันและฮอนด้าก็มีแพลนจะเปิดตัวรถยนต์ไฮโดรเจนในอนาคตเช่นกัน
อ้างอิง: