วิกฤตการขาดแคลนพลังงานในหลายประเทศ ประกอบกับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่สถานการณ์โควิดคลี่คลาย ส่งผลให้ราคาพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานที่ได้ประโยชน์จาก Stock Gain หรือกำไรจากสต๊อกน้ำมัน
ฉัตรฐาพงศ์ วังธนากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการพาณิชย์องค์กร บมจ.ไทยออยล์ (TOP) กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับขึ้นค่อนข้างแรงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน(Stock Gain) จำนวนมาก ส่งผลให้ผลดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ มีแนวโน้มว่าจะพลิกมีกำไรสุทธิได้ จากปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิราว 3,301 ล้านบาท
สำหรับราคาน้ำมันดิบดูไบช่วงไตรมาส 3 ปี 2564 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 74 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนในช่วงไตรมาส 4 คาดว่าจะปรับขึ้นมาเคลื่อนไหวในระดับ 70-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีในปี 2564 ขยับขึ้นมาอยู่เหนือระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ถือเป็นระดับที่สูงเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันช่วงปลายปี 2563 ที่อยู่ในระดับ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
“ในฝั่งของราคารน้ำมันดิบ Brent ปีนี้ก็ปรับขึ้นมาจนทำจุดสูงสุดในรอบ 3 ปี ส่วนราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดรอบ 7 ปี ซึ่งก็ดึงให้ราคาน้ำมันดิบในทุกตลาดปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ก็ถือเป็นบวกกับตัวบริษัทที่เราจะมี Stock Gain จำนวนมาก”
นอกจากนี้ความต้องการใช้น้ำมันยังเพิ่มขึ้นตามปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้นทั้งในยุโรปและสหรัฐ เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานในการผลิตไฟฟ้าที่ปัจจุบันมีปัญหาขาดแคลน เนื่องจากกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานลม ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักในยุโรปและสหรัฐถูกผลกระทบจากปริมาณลมที่ที่อ่อนตัวลง ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติในปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เท่าตัว มาอยู่ที่ระดับ 20 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู เทียบกับราคาปกติที่เฉลี่ยอยู่ในระดับ 5 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู
นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาทั้งยุโรปและสหรัฐฯ ต่างหันมาใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น ทำให้การสต๊อกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติลดลงตามไปด้วย ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์พลังงานลมไม่สามารถผลิตได้เพียงพอ จึงทำให้ต้องเร่งจัดหาพลังงานดั้งเดิมเช่น ก๊าซและน้ำมัน เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า
ขณะเดียวกันในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สหรัฐฯ ยังเผชิญพายุเฮอริเคนไอดา ซึ่งกระทบต่อการขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ ส่งผลให้มีซัพพลายลดลง กระทบต่อราคาก๊าซและน้ำมันที่เร่งตัวขึ้นด้วย
ฉัตรฐาพงศ์ กล่าวว่า อีกปัจจัยที่ทำให้ราคาก๊าซและน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งยังเกิดจากนโยบายของรัฐบาลจีนที่เป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่ของโลก ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อมในช่วงที่ผ่านมา โดยการลดใช้พลังงานถ่านหินและหันมาใช้ก๊าซและนำ้มันเพิ่มขึ้น จึงหนุนให้ราคาพลังงานเหล่านี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย
ด้านฝั่งซัพพลายผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของโลก คือ รัสเซียได้ลดการส่งออกก๊าซ เพื่อสำรองไว้ใช้ในประเทศช่วงฤดูหนาวทำให้ซัพพลายตึงตัว ล่าสุดการประชุมของกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร (โอเปกพลัส) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา ยังได้คงปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบเพียง 4 แสนบาร์เรลต่อวัน ในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามแผนเดิมที่ได้วางไว้ก่อนหน้า
โดยกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าโอเปกพลัสจะเพิ่มกำลังผลิตที่ 8 แสนบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ซัพพลายในตลาดอาจไม่เพียงพอกับดีมานด์ที่ปรับเพิ่มขึ้น
SPRC คาดผลดำเนินงานปีนี้พลิกกำไร
ด้าน สุทธนุช กิตติพงษ์วิเศษ ผู้จัดการส่วนนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทในปีนี้จะพลิกมามีกำไรจากปีก่อนที่ขาดทุนจำนวน 6,004.84 ล้านบาท มีปัจจัยบวกหลักจาก Stock Gain ตามปัจจัยราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะในช่วงต้นไตรมาส 4 ปี 2564 ที่มีปัจจัยหนุนจากฝั่งซัพพลายที่โอเปกพลัสจะยังคงปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบเพียง 4 แสนบาร์เรลต่อวัน รวมถึงราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวเพิ่มต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันมีเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นเชื้อเพลิงทดแทนก๊าซธรรมชาติ
อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา หนุนให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งในปีนี้หุ้นกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีจะมีกำไรจาก Stock Gain ตามราคาน้ำมันดิบในปีนี้ที่ขยับสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยจะเริ่มเห็นความชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 3 และต่อเนื่องไตรมาส 4 ปี 2564
ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบ Brent เฉลี่ยไตรมาส 3 ปี 2564 อยู่ที่ 73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 69% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน
ส่วนปัจจุบันราคาน้ำมันปรับขึ้นมาอยู่ที่บริเวณ 83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สำหรับคำแนะนำการลงทุนให้ Top Pick ที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นคือ บมจ.ปตท. หรือ PTT เพราะราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นช้ากว่าราคาน้ำมัน โดยประเมินกำไรปีนี้อยู่ที่ 1.19 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 216% จากปีที่แล้ว ให้ราคาเป้าหมายที่ 47 บาท และ บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก หรือ OR โดยประเมินกำไรปีนี้อยู่ที่ 1.29 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากปีที่แล้วให้ราคาเป้าหมายที่ 34 บาท
ขณะที่ราคาหุ้นโรงกลั่น SPRC ที่เคยให้เป็น Top Pick ก่อนหน้านี้มี Upside จำกัดเพราะราคาในช่วงที่ผ่านมาบวกขึ้นแรง จากราคาเป้าหมายที่ 9.90 บาท