×

‘โครส vs. รอยส์’ บทส่งท้ายตำนานลูกหนังที่แสนโรแมนติก

31.05.2024
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • เรื่องที่ถูกพูดถึงและเป็นจุดสนใจมากที่สุดในนัดชิงแชมเปียนส์ลีก กลับเป็นเรื่องราวของสองนักเตะชาวเยอรมันที่จะลงรับใช้สโมสรเป็นเกมสุดท้ายเหมือนกันในนัดนี้
  • สิ่งที่ทำให้โครสเป็นที่รักยิ่งสำหรับแฟนบอลชุดขาว คือความภักดีที่มาพร้อมกับความเป็นมืออาชีพ กลายเป็นนักฟุตบอลต้นแบบที่น่ายกย่องอย่างแท้จริง โครสไม่เคยมีปัญหาอื้อฉาวใดๆ แม้แต่รองเท้าฟุตบอลก็ยังซักทำความสะอาดเอง
  • ชั่วชีวิตของ มาร์โก รอยส์ เหมือนคนถูกสาปมาเพื่อให้พบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้กระทั่งในฤดูกาล 2022/23 ซึ่งดอร์ทมุนด์ยื่นมือข้างหนึ่งไปจับโล่แชมป์บุนเดสลีกาเอาไว้แล้ว แต่ในนัดสุดท้ายบาเยิร์นก็ยังเฉือนคว้าแชมป์ไปด้วยผลต่างประตูได้เสีย

ไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นเกมฟุตบอลนัดหนึ่งที่จะมีความหมายมากมายมหาศาลสำหรับนักฟุตบอลผู้เป็นที่รักยิ่งพร้อมกันถึงสองคน

 

เพราะนี่จะเป็นเกมนัดสุดท้ายที่ โทนี โครส และ มาร์โก รอยส์ จะลงรับใช้ให้กับสโมสรต้นสังกัดของตัวเองในศึกนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2023/24

 

โดยที่จะมีเพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้นที่ได้พบกับตอนจบที่งดงาม

 

นัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ที่จะเป็นการรูดม่านปิดฉากฤดูกาล 2023/24 อย่างเป็นทางการในปีนี้จะมีขึ้นที่สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

 

โดยสองทีมที่ผ่านด่านอรหันต์เข้ามาถึงรอบนี้ได้คือขาประจำอย่าง ‘ราชันชุดขาว’ เรอัล มาดริด เจ้าของแชมป์ 14 สมัย ส่วนคู่ต่อกรคือ ‘เสือเหลือง’ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมม้ามืดที่ได้กลับมาถึงรอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี

 

ว่ากันตามเรื่องราวแล้วสองทีมนี้ไม่ได้มี ‘สตอรี’ อะไรต่อกันมากมายนัก เพราะไม่ได้เป็นคู่ปรับกันโดยตรง และไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกันมาก่อน

 

 

เรื่องที่ถูกพูดถึงและเป็นจุดสนใจมากที่สุดกลับเป็นเรื่องราวของสองนักเตะชาวเยอรมันที่จะลงรับใช้สโมสรเป็นเกมสุดท้ายเหมือนกันในนัดนี้

 

คนแรกคือ โทนี โครส ‘Maestro’ ตำนานห้องเครื่องในแดนกลางของเรอัล มาดริด ที่เพิ่งประกาศการตัดสินใจที่ช็อกแฟนๆ เล็กน้อย ว่านอกจากจะขอไม่ต่อสัญญากับสโมสรออกไปอีก ยังจะอำลาวงการด้วย โดยรายการสุดท้ายที่จะลงเล่นคือฟุตบอลยูโร 2024 ที่ขอเปลี่ยนใจกลับมารับใช้ทีมชาติเยอรมนีเป็นครั้งสุดท้ายหลังเคยประกาศอำลาทีมชาติมาก่อน

 

นั่นทำให้กองกลางวัย 34 ปี ซึ่งมีพิธีอำลาอย่างยิ่งใหญ่กับสโมสรไปที่ซานติอาโกเบร์นาเบวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่จะลงเล่นเกมนัดชิงแชมเปียนส์ลีกเป็นนัดสุดท้ายจริงๆ ให้กับเรอัล มาดริด ปิดฉากชีวิตการเล่นในสเปนที่ครบ 10 ปีพอดี

 

โครสย้ายจากบาเยิร์น มิวนิก มาอยู่กับเรอัล มาดริดแบบไม่มีค่าตัวในฤดูร้อน 2014 ในช่วงที่ชีวิตการเล่นฟุตบอลกำลังพุ่งทะยานถึงจุดสูงสุด โดยก่อนนั้นเพิ่งเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่พาทีม ‘อินทรีเหล็ก’ คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2014 ที่ประเทศบราซิล

 

ช่วงเวลานั้นมีหลายสโมสรที่อยากได้ตัวเขาไปร่วมทีม ซึ่งรวมถึง 2 สโมสรยักษ์ใหญ่ของอังกฤษอย่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

ในบทสัมภาษณ์กับ The Guardian เมื่อปี 2020 โครสเคยเปิดเผยว่า ในช่วงที่ตัดสินใจแล้วว่าจะก้าวเดินต่อไปหลังถึงจุดสูงสุดกับบาเยิร์นไปแล้วนั้น เขาได้รับการติดต่อจาก สตีเวน เจอร์ราร์ด และ หลุยส์ ซัวเรซ สองคีย์แมนของลิเวอร์พูลที่ชักชวนให้ย้ายมาเล่นในแอนฟิลด์ด้วยกัน

 

“ถึงสุดท้ายแล้วซัวเรซจะย้ายไปบาร์เซโลนาอยู่ดีก็เถอะ” โครสกล่าวแบบติดตลก

 

แต่ทีมที่เกือบจะได้ตัวเขาไปร่วมทีมจริงๆ คือแมนฯ ยูไนเต็ด โดยเขาได้ตอบตกลงไปเรียบร้อยแล้วที่จะย้ายไปเล่นที่โอลด์แทรฟฟอร์ด เพียงแต่เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝัน เมื่อ เดวิด มอยส์ ถูกปลดจากการเป็นผู้จัดการทีมก่อนจบฤดูกาล และนายใหญ่คนใหม่อย่าง หลุยส์ ฟาน กัล ก็ไม่ได้สนใจอะไรเขานัก

 

นั่นทำให้เมื่อ คาร์โล อันเชล็อตติ ติดต่อมาและชักชวนให้มาอยู่ด้วยกันที่สเปนกับเรอัล มาดริด โครสจึงตอบตกลงอย่างง่ายดาย

 

โดยที่เขาก็ไม่ได้คิดว่าจะได้อยู่ในสเปนนานขนาดนี้เหมือนกัน

 

 

10 ปีเต็มคือระยะเวลาที่โครสรับใช้สโมสรในเมืองหลวงของสเปนอย่างภักดี ทุ่มเทเต็มที่เสมอในการเล่น และเป็นกำลังสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับเรอัล มาดริด

 

ความสามารถในการควบคุมจังหวะเกมของเขา ไม่ต่างอะไรจากพ่อมดที่ควบคุมการไหลเวียนของกาลเวลาได้อย่างน่ามหัศจรรย์

 

เรื่องนี้เป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวที่เกิดจากอุปนิสัยส่วนตัวของเขาเอง ที่โครสเคยบอกว่าเขาเป็นคนประเภทที่ใจเย็นเหมือนน้ำแข็ง ไม่เคยตระหนกตกใจกับเรื่องอะไร นั่นทำให้ ‘การตัดสินใจ’ ที่จะเลือกจังหวะการเล่นของเขาเยือกเย็นและถูกต้องเสมอ

 

แต่แน่นอนว่าโครสไม่ได้มีดีแค่นี้ เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์มากที่สุดของเยอรมนี ด้วย ‘วิชัน’ การอ่านเกมที่เฉียบขาดเหมือนมองเห็นอนาคต และการผ่านบอลที่แม่นยำในระดับเท้าชั่งทอง ที่บอลออกจากเท้าเมื่อไรเพื่อนร่วมทีมสามารถเล่นต่อแบบได้เปรียบคู่แข่งเสมอ

 

เหมือนไม่นานมานี้ที่เป็นคนผ่านบอลให้ วินิซิอุส จูเนียร์ หลุดเข้าไปทำประตูบาเยิร์น มิวนิก โครสแสดงความเหนือชั้นของเขาด้วยการชี้ช่องให้กองหน้าชาวบราซิลเตรียมวิ่งไปรอ ก่อนจะจ่ายบอลฉีกแนวรับทั้งแผงซึ่งสุดท้ายก็เป็นประตู

 

อีกหนึ่งตัวเลขสถิติที่น่าเหลือเชื่อคือการผ่านบอลสำเร็จถึง 94 เปอร์เซ็นต์ตลอด 10 ปีให้เรอัล มาดริด

 

แต่สิ่งที่ทำให้โครสเป็นที่รักยิ่งสำหรับแฟนบอลชุดขาว คือความภักดีที่มาพร้อมกับความเป็นมืออาชีพ กลายเป็นนักฟุตบอลต้นแบบที่น่ายกย่องอย่างแท้จริง

 

โครสไม่เคยมีปัญหาอื้อฉาวใดๆ ไม่เคยงอแงในการฝึกซ้อม ไม่มีปัญหาการเจรจาค่าเหนื่อยในการต่อสัญญา

 

แม้แต่รองเท้าฟุตบอลก็ยังซักทำความสะอาดเองทุกครั้งทันทีหลังการซ้อมและแข่ง ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องทำเองก็ได้

 

“ผมชอบที่จะได้ทำความสะอาดรองเท้าเหล่านี้ด้วยตัวเอง เพราะรองเท้าพวกนี้คือสิ่งสำคัญสำหรับนักฟุตบอล” โครสเคยบอกไว้

 

เพราะเหตุนี้ทำให้แฟนๆ เรอัล มาดริดเองก็คาดหวัง ว่านอกจากได้แชมป์ลาลีกาเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ก็อยากเห็นนักเตะที่น่ายกย่องอย่างโครสได้ฉลองแชมป์กับถ้วย ‘Big Ears’ เป็นสมัยที่ 5 หลังจากที่เคยได้มาแล้วในปี 2016, 2017, 2018 และ 2022

 

จะได้เป็นการปิดฉากตำนานอย่างยิ่งใหญ่กับเรอัล มาดริด

 

แต่โครสก็ไม่ได้เป็นนักเตะคนเดียวที่ทุกคนอยากเห็นนัดส่งท้ายที่สวยงาม

 

 

สำหรับแฟนทีมเสือเหลืองแล้ว พวกเขาปรารถนาที่จะได้เห็น มาร์โก รอยส์ ได้ชูถ้วยแชมป์ที่ใหญ่ที่สุดในเกมนัดสุดท้ายกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไม่น้อยไปกว่าที่แฟนเรอัล มาดริดอยากเห็น โทนี โครส ได้ปิดฉากอย่างสวยงาม

 

บางทีแรงปรารถนานั้นอาจมากกว่าด้วยซ้ำไป

 

นั่นเป็นเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รอยส์เป็นนักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่ที่น่าสงสารมากที่สุดคนหนึ่งในโลกฟุตบอลก็ว่าได้

 

รอยส์เป็นเด็กที่เกิดในเมืองดอร์ทมุนด์ และอยู่กับอะคาเดมีของสโมสรมาตลอด แต่ต้องระเห็จไปอยู่กับทีมรุ่นอายุต่ำกว่า 19 ปีของรอต ไวสส์ อาห์เลน ในระดับดิวิชัน 3 ของเยอรมนีที่กลายเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพแห่งแรก ก่อนที่โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัคจะเห็นแววและคว้าตัวมาร่วมทีมจนได้เล่นในระดับบุนเดสลีกา

 

แววโดดเด่นของเขาจากผลงาน 3 ปีกับกลัดบัคเข้าตา เจอร์เกน คล็อปป์ โค้ชของดอร์ทมุนด์ในเวลานั้น ที่ตกใจอย่างมากเมื่อได้รู้ว่าแท้จริงแล้วรอยส์คือสายเลือดแท้ของสโมสรที่ถูกปล่อยตัวไปในปี 2006 ทำให้ตัดสินใจคว้าตัวเขากลับมาในปี 2012 ซึ่งเป็นช่วงที่ดอร์ทมุนด์กำลังยิ่งใหญ่ คว้าแชมป์บุนเดสลีกามาครองได้ถึง 2 สมัยติดต่อกัน

 

แต่หลังจากที่รอยส์กลับมาอยู่กับดอร์ทมุนด์ในฤดูกาล 2012/13 เขาไม่เคยได้แชมป์บุนเดสลีกาอีกเลย รวมถึงในการเข้าชิงแชมเปียนส์ลีกเมื่อปี 2013 ก็จบลงด้วยความผิดหวังพ่ายแพ้ต่อบาเยิร์น มิวนิก ที่ได้ประตูชัยในช่วงท้ายเกมจากอาร์เยน ร็อบเบน

 

ชั่วชีวิตของเขาเหมือนคนที่ถูกสาปมาเพื่อให้พบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

แม้กระทั่งในฤดูกาล 2022/23 ซึ่งดอร์ทมุนด์ยื่นมือข้างหนึ่งไปจับโล่แชมป์บุนเดสลีกาเอาไว้แล้ว แต่ในนัดสุดท้ายของฤดูกาลก็พลาดท่าให้บาเยิร์น มิวนิกที่แซงชนะเอฟซี โคโลญจน์ในนาทีที่ 89 ของการแข่งขัน เฉือนคว้าแชมป์ไปด้วยผลต่างประตูได้เสีย

 

รอยส์เป็นหนึ่งในคนที่เจ็บปวดที่สุด เพราะพยายามมากที่สุดทั้งๆ ที่สภาพร่างกายอ่อนแอและโรยราลงไปทุกที

 

 

ในทำเนียบเกียรติยศของกองกลางพรสวรรค์แล้ว มีเพียงการคว้าแชมป์เดเอฟเบ โพคาล 2 สมัยในปี 2017 และ 2021 เท่านั้น ซึ่งน้อยเกินไปมากเมื่อเทียบกับความเก่งกาจและความยิ่งใหญ่

 

ไม่นับเรื่องของหัวจิตหัวใจที่รอยส์ต้องเผชิญกับปัญหาอาการบาดเจ็บรุนแรงหลายต่อหลายครั้ง จนต้องพลาดโอกาสได้รับใช้ทีมชาติเยอรมนีในรายการฟุตบอลใหญ่อย่างฟุตบอลโลกและฟุตบอลยูโร ซึ่งแทบทุกครั้งจะเกิดขึ้นในช่วงสำคัญก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มต้นเสมอ จนเหมือนถูกสาปจากใครสักคน

 

เพียงแต่สำหรับแฟนดอร์ทมุนด์แล้ว ความยิ่งใหญ่ของนักเตะผู้นี้ไม่ได้วัดกันที่เรื่องความสำเร็จและถ้วยแชมป์

 

ไม่ต่างอะไรจากโครส ด้วยความจงรักและภักดีที่มีต่อสโมสร ความเป็นมืออาชีพ ความมุ่งมั่น การไม่เคยยอมแพ้แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดและรวดร้าวมากแค่ไหน ทำให้รอยส์เป็นนักเตะที่แฟนๆ รักมากที่สุดคนหนึ่ง หรืออาจบอกได้ว่าเป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรก็ว่าได้

 

รอยส์คือ ‘สัญลักษณ์’ ของสโมสร คือความดีงามที่หาได้ยากยิ่งในยุคสมัยนี้

 

อย่างไรก็ดีเมื่อรอยส์ตัดสินใจ ว่าถึงเวลาที่เขาจะไปจากสโมสรแล้วเพื่อเปิดทางให้คนรุ่นใหม่อย่างเต็มที่ ดอร์ทมุนด์ก็มีโอกาสที่จะได้เข้าชิงแชมป์รายการยิ่งใหญ่ที่สุดที่เป็นเหมือนโอกาสให้นักเตะวัย 35 ปีได้แก้ตัวอีกสักครั้ง

 

นั่นทำให้แฟนๆ ดอร์ทมุนด์และแฟนฟุตบอลทั่วโลกต่างอยากเห็นจอมอาภัพผู้นี้ได้มีความสุขและบทสรุปที่งดงามที่จะเป็นการส่งท้ายให้เรื่องราวของเขาเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่โรแมนติกที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยมีมาในโลกฟุตบอล

 

เพียงแต่ฉากจบของเกมสุดท้ายนี้มีได้เพียงแบบเดียวเท่านั้น

 

มีเพียงแค่โครสหรือรอยส์ ใครคนหนึ่งที่จะได้ปิดฉากอย่างสวยงามด้วยการชูถ้วยแชมป์

 

ฟ้าและดิน กับกองเชียร์อีก 90,000 คนในเวมบลีย์และอีกหลายล้านคนทั่วโลก – รวมถึงคุณและผม – เราจะร่วมกันเป็นพยาน

 

อ้างอิง:

FYI
  • อาจไม่ใช่แค่โครสและรอยส์ที่จะลงเล่นเป็นเกมสุดท้ายให้สโมสร มัตส์ ฮุมเมิลส์ ปราการหลังวัย 35 ปีของดอร์ทมุนด์ และ ลูกา โมดริช กองกลางวัย 38 ปีของเรอัล มาดริดเองก็ยังไม่แน่ชัดกับอนาคตซึ่งทั้งคู่จะหมดสัญญาหลังจบฤดูกาลนี้เหมือนกัน
  • เอดิน เทอร์ซิช โค้ชของดอร์ทมุนด์ เคยเป็นหนึ่งในแฟนบอลที่อยู่ในสนามวันที่ดอร์ทมุนด์พ่ายต่อบาเยิร์นในนัดชิงแชมเปียนส์ลีก ปี 2013 ด้วย วันนี้กลายเป็นโค้ชที่พาทีมเข้าชิงได้อีกครั้ง
  • คาร์โล อันเชล็อตติ จะพาทีมเข้าชิงแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งที่ 6 โดยมีโอกาสจะคว้าถ้วยเป็นสมัยที่ 5 ก่อนหน้านี้เคยได้แชมป์ในปี 2003 และ 2007 กับเอซี มิลาน ก่อนจะได้แชมป์กับเรอัล มาดริดในปี 2014 และ 2022 โดยมีเพียงปี 2005 ครั้งเดียวที่พ่ายแพ้

 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising