เข้าสู่ปีที่ 22 หลังการปรากฏตัวครั้งแรกของตัวละคร เลดี้ ครอฟต์ หรือ ลาร่า ครอฟต์  ที่เรารู้จักกันในเกมและภาพยนตร์เป็นอย่างดี ก่อนอื่นต้องขอปรบมือให้กับทีม Core Design บริษัทเกมสัญชาติอังกฤษ ที่ได้สร้างตัวละครสาวสุดเซ็กซี่ขึ้นมา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวออกมาว่า Tomb Raider จะเป็นผู้ชายเพราะยึดเอาแรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่อง Indiana Jones

จากเกมที่มียอดขายกว่า 63 ล้านก๊อบปี้ทั่วโลก เดินทางไปสู่นวนิยาย การ์ตูน และภาพยนตร์ โดยในปี 2001 คือจุดเริ่มต้นของ Lara Croft: Tomb Raider กำกับโดย ไซมอน เวสต์ นำแสดงโดยดาราหญิงแกร่งอย่าง แอนเจลินา โจลี ซึ่งเธอได้เสียงตอบรับอย่างดีกับการรับบทนี้ และกลายเป็นภาพจำตัวละคร ลาร่า ครอฟต์ ไปในทันที

Lara Croft: Tomb Raider (2001)

เรื่องราวของ Lara Croft: Tomb Raider เกี่ยวกับสาวสวยนักสำรวจ ลาร่า ครอฟต์ เธอค้นพบนาฬิกาโบราณซึ่งพ่อที่เป็นนักโบราณคดีเก็บไว้ นาฬิกาที่ว่าใช้เปิดมิติเวลาและห้วงอวกาศ ทั้งยังใช้กำจัดศัตรูได้อีกด้วย ลอร่ามีเวลาเพียง 48 ชั่วโมงก่อนที่ดาวเคราะห์ 3 ดวงจะโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน เธอต้องตามหากุญแจสามเหลี่ยมทั้งสองชิ้นให้ครบ เพื่อนำมาประกอบเข้าด้วยกัน และช่วยเหลือจักรวาลนี้ไว้ให้ปลอดภัย

Lara Croft: Tomb Raider มีบทสุดหินมากมายที่หญิงสาวสุดเซ็กซี่อย่างโจลีต้องแบกไว้ แต่นับว่าโจลีทำได้ดีมาก และแทบจะถอดแบบคาแรกเตอร์ ลาร่า ครอฟต์ จากเกมมาได้เกือบทั้งหมด ทั้งท่าทาง หน้าตา สีหน้าที่ดูเคร่งเครียด โดยเฉพาะรูปร่างที่ดูเหมือนสุดๆ

หลังจากเข้าฉาย Lara Croft: Tomb Raider ทำรายได้จากการฉายทั่วโลกไปมากกว่า 273 ล้านเหรียญสหรัฐ

Lara Croft Tomb Raider: The Cradle of Life (2003)

มาถึงภาคที่สอง ครั้งนี้เรื่องราวไม่ได้มีแค่ฉากเจอศัตรูแล้วเตะต่อยอย่างภาคก่อน ลาร่าได้มีการสืบหาสมบัติโบราณที่เรียกว่า Pandora’s Box กล่องนี้ใช้เป็นที่เก็บสิ่งชั่วร้ายเท่าที่โลกเคยมีเอาไว้ ลาร่าต้องออกเดินทางไปทั้งฮ่องกง เคนยา แทนซาเนีย และกำแพงเมืองจีน เพื่อค้นหากล่องแพนโดรา ก่อนที่ฝ่ายวายร้ายจะชิงมันไปและใช้เพื่อยึดครองโลก

ในภาคนี้อัดแน่นไปด้วยการต่อสู้ ทั้งเทควันโด ขี่ม้า ยิงปืน เจ็ตสกี อุปกรณ์ไฮเทคมากมาย รวมทั้งเครื่องยนต์ที่ดำน้ำได้ เหล่านี้ทำให้แอนเจลินา โจลี ต้องฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อให้เธอดูเชี่ยวชาญสมจริง แต่ดูเหมือนว่าผู้ชมจะไม่ได้ประทับใจกับฉากเหล่านี้เท่าไรนัก ทำให้เสียงตอบรับไม่ดีเท่าที่ควร ทำรายได้ทั่วโลกไปราว 157 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนแอนเจลินา โจลี ก็ออกมาให้สัมภาษณ์หลังจากนั้นว่าเธอจะไม่รับบท ลาร่า ครอฟต์ เป็นครั้งที่ 3 อย่างแน่นอน

Tomb Raider (2018)

หลังจากรอคอยกันมานานกว่า 15 ปี ในที่สุด ลาร่า ครอฟต์ ก็เดินทางกลับมาสู่โลกภาพยนตร์ ครั้งนี้เป็นการรีบูตโดยใช้ชื่อเต็มๆ ว่า Tomb Raider เนื้อเรื่องอ้างอิงมาจากเกมในปี 2013 กำกับโดย รอร์ อาทัก (Roar Uthaug)

นักแสดงที่มารับบท ลาร่า ครอฟต์ ได้แก่ อลิเซีย วิกันเดอร์ ที่ก่อนหน้านี้เธอได้รับคำสบประมาทมากมายว่าไม่เหมาะกับบท เนื่องจากดูอ่อนแอเกินไป แต่ด้วยความทุ่มเทของนักแสดงตัวจริง วิกันเดอร์ทำให้เราเห็นว่าบท ลาร่า ครอฟต์ เธอก็ทำได้!

นักแสดงสาววัย 29 ปี เตรียมพร้อมสำหรับบทลาร่า ครอฟต์ ด้วยการออกกำลังกายเป็นกิจวัตรสำคัญทุกวัน โดยเน้นการยกน้ำหนักและเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อขา น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นราว 12 ปอนด์เป็นกล้ามเนื้อล้วนๆ เธอมีเทรนเนอร์ดูแลการออกกำลังกาย และเทรนเนอร์คอยฝึกสอนศิลปะการต่อสู้อีกต่างหาก นอกจากนี้เธอยังซื้อรองเท้าปีนเขา ไว้ใส่ในชีวิตประจำวัน และเลือกไปปีนเขาอยู่บ่อยๆ ให้คุ้นเคย

ไม่ใช่แค่ร่างกายแข็งแรง และซิกซ์แพ็กที่เราได้เห็น เมื่อชมภาพยนตร์ Tomb Raider ฉบับของอลิเซีย วิกันเดอร์ ต้องยอมรับว่าเธอทำได้ดีกับบทบาท ลาร่า ครอฟต์ คนใหม่ ทั้งการต่อสู้ที่ดูสมจริง อารมณ์ระหว่างการต่อสู้ที่ชวนให้เราอินตามไปด้วย แต่น่าเสียดายที่ภาพยนตร์เลือกเล่าตามเรื่องราวในเกมมากเกินไป ซึ่งหากนำมาเรียบเรียงใหม่ ใส่ความซับซ้อนที่สมเหตุสมผล คาดเดาไม่ง่ายเพิ่มเติม อาจจะดีกว่านี้

Tomb Raider ย้อนกลับไปเล่าเรื่องราวการผจญภัยของลาร่า ครอฟต์ เมื่อครั้งออกตามหาพ่อ ลอร์ด ริชาร์ด ครอฟต์ นักโบราณคดีที่หายตัวไปอย่างลึกลับ เธอเดินทางไปยังเกาะยามาไต ชายฝั่งประเทศญี่ปุ่น โบราณสถานที่ทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับองค์กรทรินิตี้ กลุ่มก่อการร้ายที่หวังจะครองโลก

ต่อจากนี้เราต้องรอดูต่อไปว่า Tomb Raider จะมีภาคต่อไปหรือไม่ และอลิเซีย วิกันเดอร์ ยังจะได้รับบทนี้ต่อหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ เราหวังว่าเธอจะกลับมา ลาร่า ครอฟท์ต์ ผู้หญิงความสามารถรอบด้าน ขาลุยที่เราจะรักตลอดไป