คมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า หลังจากที่หลายประเทศเริ่มพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธ์ุโอไมครอน (Omicron) ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่าสายพันธ์ุนี้เป็นสายพันธ์ุที่น่ากังวล และอาจมีความสามารถในการแพร่กระจายได้ดีกว่าสายพันธุ์เดลตา อีกทั้งได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักในหลายพื้นที่ในแอฟริกาแล้ว รวมทั้งอาจมีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าจะสามารถควบคุมหรือจัดการไวรัสโควิดสายพันธ์ุใหม่นี้ได้อย่างไร คาดว่าแต่ละประเทศคงต้องใช้นโยบายเชิงป้องกันด้วยการจำกัดการเดินทางเข้าและออกประเทศอย่างเข้มงวด ส่วนผลกระทบด้านเศรษฐกิจนั้น ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะประเมินถึงความเสียหาย แต่เบื้องต้นได้คาดการณ์กรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธ์ุโอไมครอนไว้ 2 กรณีคือ 1. กรณีที่ไม่รุนแรง (Best Case Scenario) และ 2. กรณีที่สร้างผลกระทบรุนแรง (Worst Case Scenario)
โดยกรณีสร้างผลกระทบรุนแรงนั้น หากโอไมครอนมีความสามารถในการระบาดสูงกว่าเดลตา 2 เท่า และวัคซีนที่มีอยู่ไม่สามารถยับยั้งการระบาดของโรคได้ หากเป็นเช่นนี้ทั่วโลกอาจจะเจอกับการแพร่ระบาดรุนแรงเทียบเท่ากับเชื้อไวรัสโควิดสายพันธ์ุอัลฟาในช่วงที่ยังไม่มีวัคซีน ดังนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือหลายประเทศอาจต้องกลับไปใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดอีกครั้ง เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยจะพุ่งขึ้นเรื่อยๆ จนโรงพยาบาลรับไม่ไหว
“ยิ่งไปกว่านั้น การล็อกดาวน์รอบนี้รัฐบาลและธนาคารกลางของแต่ละประเทศเริ่มจะมีข้อจำกัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากปัจจุบันเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง อีกทั้งระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) จะถูกกระทบจากผลของการล็อกดาวน์ ทำให้เงินเฟ้อยังทรงตัวในระดับสูง แม้ความต้องการบริโภค (Demand) จะลดลง
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้จึงคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสปรับลงจากปัจจุบันถึง 15-20% ในกรณีที่โอไมครอนระบาดอย่างรุนแรง” คมศรกล่าว
ในทางกลับกัน กรณีผลกระทบไม่รุนแรง (Best Case Scenario) โดยโควิดสายพันธ์ุโอไมครอนไม่ได้น่ากลัวอย่างที่กังวล ตลาดหุ้นก็อาจปรับขึ้น (Rebound) กลับไปในระดับก่อนมีข่าว หรือมีโอกาสปรับขึ้นประมาณ 2-3% เท่านั้น
คมศรกล่าวว่า การวิเคราะห์ของทิสโก้ได้ข้อสรุปว่า โอกาสที่หุ้นทั่วโลกจะปรับตัวลง (Downside) ยังมีมากกว่าโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น (Upside) อย่างมาก ดังนั้น ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้จึงประเมินว่า ตลาดหุ้นที่ระดับปัจจุบันยังไม่สะท้อนความเสี่ยงจากประเด็นนี้อย่างเพียงพอ และน่าจะยังถูกกดดันต่อเนื่องในระหว่างที่กำลังรอความชัดเจน ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP