TISCO ESU หั่น GDP ไทยปีนี้เหลือโต 2.8% จากเดิมคาดโต 3% แต่ยังเสี่ยงโตชะลอเหลือ 2.1-2.3% จากผลกระทบ Trade War
เมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) กล่าวว่า จากความเสี่ยงของสงครามการค้า (Trade War) จากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น TISCO ESU ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ของ ในปีนี้ลงมาอยู่ที่ 2.8% จากเดิมที่คาดไว้ 3% อีกทั้งมีความเสี่ยงที่จะเติบโตได้เพียง 2.1-2.3% ซึ่งต่ำกว่าปี 2567 ที่ขยายตัวได้ 2.5% เนื่องจากยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมที่อาจกดดันเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า จาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่
- ประเด็นสงครามการค้า (Trade War) จากมาตรการภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ (Reciprocal Tariff) ปัจจุบันไทยมีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ที่เฉลี่ยประมาณ 6% ขณะที่สหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทยที่ประมาณ 1% ดังนั้นคาดว่าสหรัฐฯ มีโอกาสปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากไทยเพิ่มอีก 5% เพื่อชดเชยส่วนต่างระหว่างภาษีนำเข้าสินค้าที่ไทยเก็บจากสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบเศรษฐกิจไทยประมาณ 0.35-0.50%
สำหรับการส่งออกในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวที่ 2% โดยยังไม่ได้นับรวมผลกระทบที่ที่สหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทย แต่หลังจากหากสหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทยก็มีโอกาสที่ส่งออกของไทยในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตที่ลดลงจากที่ประมาณไว้หรือมีอัตราการเติบโตที่ติดลบขึ้นได้ โดยขึ้นปัจจัยของอัตราภาษีที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าของไทย และเป็นกลุ่มสินค้าประเภทใดบ้าง อีกทั้งการนำเข้าของไทยในปีนี้มีโอกาสเติบโตขึ้น
- การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ล่าช้ากว่าคาด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีความกังวลถึงความปลอดภัยในการเดินทางมาประเทศไทย และผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อาจส่งจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีความเสี่ยงจะพลาดเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือลดลง 2 ล้านคนจากความเห็นของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินไว้ที่ 38-38.5 ล้านคน
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลต่อภาคการผลิตของไทยต่อเนื่องในปีนี้ แม้บีโอไอ เผยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนปี 2567 มูลค่ากว่า 1.13 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี ที่จะเริ่มเห็น การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) มาลงทุนในปีนี้ แต่มีความเสี่ยง หากสหรัฐฯ ประกาศขึ้น Tariff สินค้านำเข้าจากไทยก็มีความเสี่ยงที่ FDI จะเปลี่ยนแผนยกเลิกการลงทุนในไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่สินค้าที่มีความซับซ้อนหรือเทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตซึ่งมีสัดส่วนการขอบีโอไอที่สูง เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, เซมิคอนดักเตอร์, ชิ้นอุปกรณ์ประกอบโทรศัพท์มือถือ, แผงวงจรไฟฟ้า, โซลาร์เซลล์, Data Center ให้มีโอกาสย้ายฐานการผลิตไปยังสหรัฐฯ โดยใช้เทคโนโลยีออโตเมชันในการผลิตแทนแรงงานคนซึ่งจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการผลิตจากประเทศไทย ส่งผลให้ภาคการผลิตของไทยผลิตสินค้าได้น้อยลงและส่งออกได้ลดลงด้วยเช่นกัน
อีกทั้ง ยังมีปัจจัยกดดันจากที่จีนถูกมาตรการ Tariff สินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯ แล้วประมาณ 20% ส่งผลให้สินค้าจากจีนทะลักเข้ามาทุ่มตลาดในไทยมากขึ้น ซึ่งจะมากดดันภาคการผลิตของหลายอุตสาหกรรมของไทยให้ซบเซาต่อเนื่อง โดยหากดูข้อมูลช่วงปี 2567-2567 จะพบว่าอุตสาหกรรมที่กำลังการผลิตลดลงต่อเนื่องจากผลกระทบจากประเด็นที่สินค้าจากจีนทะลักเข้ามาทุ่มตลาด เช่น อุตสาหกรรมผลิตเฟอร์นิเจอร์, อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์, อุตสาหกรรมผลิตเลนส์แว่นค้า, อุตสาหกรรมผลิตเครื่องนุ่งห่ม, อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์, อุตสาหกรรมผลิตบุหรี่
ส่วนปัจจัยที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้ คือการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายงบลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์ แต่ต้องติดตามต่อว่าโครงการต่าง ๆ จะสามารถผ่านร่างกฎหมายและดำเนินการแล้วเสร็จได้ในปีนี้หรือไม่ ซึ่งอาจจะเป็นความเสี่ยงที่ปีนี้อาจไม่เห็นเม็ดเงินลงทุนจากโครงการใหญ่ ๆ ของภาครัฐ แต่การลงทุนในโครงการเล็ก ๆ หลายโครงการอาจหนุนเศรษฐกิจให้โตได้ แต่อาจชะลอบ้างจากปีก่อน
ทั้งนี้หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 2% ในการประชุมครั้งแรกของปีนี้ สวนทางกับท่าทีที่เข้มงวดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อนหน้านี้ โดยกนง. ให้เหตุผลว่าภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าที่ประเมินไว้ และความเสี่ยงด้านลบเริ่มชัดเจนขึ้น แต่ยังย้ำว่าเป็นการ “ปรับสมดุลของดอกเบี้ย ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง”
อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้ที่ 2.8% คาดว่า กนง. อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2% ตลอดทั้งปี แต่หากได้รับผลกระทบจาก 2 ปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวไปข้างต้น มีโอกาสที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกราว 1 – 2 ครั้ง ในปีนี้หรือลงมาอยู่ที่ 1.50-1.75% ต่อปี โดยขึ้นอยู่กับในระยะข้างหน้าจะมี Negative Shock เข้ามาเพิ่มเติมหรือไม่โดยต้องจับตารายละเอียดนโยบายสงครามการค้าของสหรัฐฯ ในวันที่ 2 เมษายนนี้
“หากสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทยในอัตรา 5-10% มีโอกาสที่ กนง.จะเริ่มลดดอกเบี้ยในปีนี้จำนวน 1-2 ครั้ง โดยจะเริ่มเห็นการลดดอกเบี้ยตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนนี้ แต่หากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าไทยถึง 25% GDP ไทยปีนี้อาจขยายตัวเหลือเพียง 2.1%”
งานแถลงข่าว TISCO ESU เปิดกลยุทธ์จัดพอร์ตรับมือสงครามการค้า
แนะชะลอลงทุน Magnificent 7 มองมูลค่าแพง
ด้านคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ TISCO ESU กล่าวว่า ในภาวะตลาดผันผวนนี้ แนะนำให้นักลงทุน ปรับพอร์ตโดยเน้นอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายการลดภาษีนิติบุคคล และกลุ่มที่มีรายได้หลักจากตลาดในสหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยงของการถูกตอบโต้จากสงครามการค้า ได้แก่ กลุ่มสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ขยายตัว และได้รับประโยชน์จากนโยบายลดกฎระเบียบในภาคการเงิน (Bank Deregulation) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไร และกลุ่มพลังงานในสหรัฐฯ ที่แม้ราคาน้ำมันจะปรับฐานลงจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ แต่มีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวแข็งแกร่งในระยะข้างหน้า
สำหรับหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้า หรือ Magnificent 7 ที่เคยเป็นผู้นำตลาดในช่วงขาขึ้น กลับกลายเป็นตัวฉุดตลาดในรอบนี้ โดยปัจจัยหลักที่กดดันตลาดมาจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยมีมุมมองต่อราคาหุ้นกลุ่มนี้ว่ามีมูลค่าหุ้นที่แพงหลังราคาหุ้นปรับขึ้นไปค่อนข้างแรงในปี 2567 ส่งให้มีค่าพีอีพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 30-40 เท่า ขณะที่การเติบโตของกำไรช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตในระดับ 20-30% แต่ประเมินว่าการเติบโตของกำไรในปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัวลงเหลือประมาณ 10-20% อีกทั้งยังเผชิญผลกระทบจากการแข่งขันของกลุ่มเทคจีน ที่กำลังพัฒนามาจนอาจเสี่ยงกระทบกับมูลค่าของหุ้นกลุ่ม Magnificent 7
“ในกรณีเลวร้าย หากสงครามการค้ายกระดับขึ้น และสหรัฐฯ ประกาศใช้อัตราภาษีนำเข้ากับประเทศคู่ค้าทั่วโลก (Universal Tariff) ที่ระดับ 10% เราประเมินว่า ผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ จะอยู่ที่ 4-5% แต่มองไปข้างหน้า ตลาดหุ้นยังมีปัจจัยบวกจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เช่น ความพยายามในการลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% ในปัจจุบันเหลือ 15% ซึ่งหากทำได้จริง จะส่งผลบวกต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ราว 4% และคาดว่าจะช่วยชดเชยผลกระทบเชิงลบจากกำแพงภาษีได้เกือบทั้งหมด” คมศรกล่าว
Mar-a-Lago Accord ความเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์โลก
ด้านธนธัช ศรีสวัสดิ์ นักกลยุทธ์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ TISCO ESU กล่าวถึงกระแสความเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์โลกภายใต้ยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งนักวิเคราะห์เรียกข้อตกลงดังกล่าวว่า “Mar-A-Lago Accord” ตามชื่อบ้านพักของทรัมป์ ซึ่งเป็นการรวมแนวคิดทั้งหมดของทรัมป์ไว้ด้วยกัน ได้แก่ การผลักดันยุโรปให้รับภาระด้านความมั่นคงมากขึ้น การดึงฐานการผลิตกลับประเทศ และการจัดระบบการค้าโลกใหม่เพื่อลดบทบาทของจีนในห่วงโซ่อุปทานโลก ซึ่งผลของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ผลักดันดัชนีความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจโลก (Global Economic Policy Uncertainty Index) ให้พุ่งสูงกว่าช่วงล็อกดาวน์ในปี 2563 สะท้อนถึงความกังวลของตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก
ตราสารหนี้โลก – น้ำมันดิบ ทางเลือกที่น่าสนใจ
การลงทุนภายใต้บริบทโลกที่เปลี่ยนไป TISCO ESU มองว่า ตราสารหนี้โลก (Global Fixed Income) จะเป็นทางเลือกที่ช่วยลดความผันผวนที่เกิดจากปัจจัยเฉพาะของแต่ละประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ หากลงทุนในตราสารหนี้โลกในช่วงนี้ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) ของพันธบัตรรัฐบาลฝรั่งเศสและเยอรมนีปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 15 ปีแล้ว ขณะที่ Real Yield ของญี่ปุ่นเองก็เพิ่มสูงขึ้นจนอยู่ในระดับที่เกือบไม่ติดลบ แม้ยังมีโอกาสปรับขึ้นได้อีกบ้าง
อย่างไรประเมินว่าความเสี่ยงดังกล่าวค่อนข้างจำกัด จึงแนะนำให้นักลงทุนพิจารณาการลงทุนในตราสารหนี้โลกที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ซึ่งเริ่มเห็นการ Outperformed พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แล้วในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
อีกหนึ่งสินทรัพย์ที่น่าสนใจ คือ น้ำมันดิบ ซึ่งมีโอกาสได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการการคลัง โดยเฉพาะในยุโรปและจีน ที่มีแนวโน้มต้องนำทรัพยากรการคลังออกมาใช้มากขึ้น เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป แม้ราคาน้ำมันดิบ WTI จะปรับตัวลดลงติดต่อกันนานกว่า 7 สัปดาห์ในช่วงต้นปี แต่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ และตลาดยังซึมซับข่าวลบไปค่อนข้างมากแล้ว ทำให้ TISCO ESU มองว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มฟื้นตัวกลับมาเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 70 – 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในช่วงกลางปีนี้ ตามปัจจัยฤดูกาลที่อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกมักเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูร้อน
คาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่เข้าภาวะถดถอย
ธนภัทร ธนชาต ผู้ช่วยนักวิจัย ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ TISCO ESU กล่าวเพิ่มเติมในส่วนของข้อมูลเศรษฐกิจว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีสัญญาณชะลอตัว แต่ยังไม่ถึงขั้นเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยตัวเลขเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าคาดส่วนใหญ่เป็นผลจากการตอบแบบสอบถาม (Soft Indicators) เช่น ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการที่ปรับตัวลงรุนแรง ขณะที่ตัวเลขชี้วัดทางเศรษฐกิจสำคัญ เช่น การจ้างงาน รายได้ การใช้จ่ายและการผลิต ยังแข็งแกร่งและไม่มีสัญญาณของภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ชัดเจน
ด้านนโยบายการเงินของสหรัฐฯ TISCO ESU ประเมินว่า ในปี 2568 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้ง รวมที่ระดับ 0.50% โดยความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าที่ยังไม่ชัดเจน ทำให้ Fed ต้องดำเนินนโยบายการเงินด้วยความระมัดระวัง ขณะเดียวกันยังต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงด้านสูง (Upside Risks) ต่ออัตราเงินเฟ้อ และความเสี่ยงด้านต่ำ (Downside Risks) ต่อเศรษฐกิจให้ดี ก่อนตัดสินใจปรับเปลี่ยนจุดยืนนโยบายการเงินในอนาคต
ยุโรปมีสัญญาณฟื้นตัวแต่ยังต้องจับตา
ในส่วนมุมมองต่อเศรษฐกิจยุโรป TISCO ESU มองว่า ยุโรปมีสัญญาณฟื้นตัวในทางที่ดีขึ้น เนื่องจากเยอรมนีมีแผนขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซามานานกว่า 2 ปี และเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลเชิงบวกในช่วงปี 2569-2570 หลังได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาเป็นที่เรียบร้อย จากขนาดของมาตรการที่ใหญ่ และมีโครงการลงทุนที่หลากหลาย จึงอาจช่วยหนุนให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม อีกทั้ง จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยยกระดับการเติบโตของเศรษฐกิจเยอรมนี และทั่วทั้งยุโรปมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐอาจใช้เวลานาน ทำให้เศรษฐกิจยุโรปในปี 2568 อาจไม่ได้ขยายตัวมากนัก อีกทั้งเศรษฐกิจยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากสงครามการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น จึงต้องติดตามกระบวนการใช้จ่ายงบประมาณอย่างใกล้ชิด
ภาพ: Joshua Sukoff / Shutterstock