มนุษย์จะรับมืออย่างไร หากโลกเดือดจนถึงจุดที่การลดก๊าซเรือนกระจกก็ไม่สามารถกู้คืนโลกใบเดิมให้กลับมาได้?
นี่เป็นประเด็นชวนคิดที่ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) หยิบยกมาพูดในงานเปิดตัว ‘ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลและปะการังหมู่เกาะหมาก (ศูนย์หญ้าทะเลสู้โลกร้อน) ศูนย์เรียนรู้และโรงเรือนอนุบาลหญ้าทะเลโดยชุมชนแห่งแรกของประเทศ ที่มีหัวเรือใหญ่อย่าง บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมกับคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะหมาก และวิสาหกิจชุมชนเกษตรผสมผสานบ้านอ่าวนิด (กลุ่มอนุรักษ์ปะการัง) ร่วมกันผลักดันให้เกิดขึ้นภายใต้บันทึกข้อตกลง “การพัฒนาพื้นที่หมู่เกาะหมาก สู่เป้าหมาย Low Carbon Destination” เมื่อปี พ.ศ. 2565 เพื่อขยายผลการอนุรักษ์ระบบนิเวศทางทะเลควบคู่กับการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ยกระดับศักยภาพชุมชนในการปรับตัวต่อภาวะโลกร้อน และส่งเสริมเศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) อย่างยั่งยืน
ดร. ธรณ์บอกว่า โลกกำลังเข้าสู่ Tipping Point หรือจุดวิกฤตที่หวนคืนไม่ได้แล้ว แต่ยังสามารถฟื้นฟูบางจุดได้ รวมถึงน่านน้ำบริเวณเกาะหมากเองก็มีหลายจุดที่วิกฤตจนอาจไม่คุ้มที่จะฟื้นฟู แต่ถึงจะฟื้นฟูทั้งหมดไม่ได้ อย่างน้อยให้รอดแค่ 1% ก็พอ

การล่องเรือมายังเกาะหมากกับ ‘บางจากฯ’ ของ The Standard ครั้งนี้ ได้รู้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ ‘หญ้าทะเล’ ฮีโร่สำคัญของระบบนิเวศทางทะเล และยังได้เข้าใจว่าทำไมการกู้คืนแม้เพียง 1% ตามที่ ดร.ธรณ์บอก ถึงสำคัญต่อการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ยังได้เห็นพลังชุมชนที่ร่วมใจกันรักษาปะการังและฟื้นฟูหญ้าทะเล เพื่อรักษาทรัพยากรทางทะเลของบ้านเกิด

บางจากฯ หนึ่งในพันธมิตรสำคัญ และผู้นำธุรกิจด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ประกาศเป้าหมาย Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) เป็นองค์กรแรกๆ และยังกำหนดกลยุทธ์ BCP 316 NET เพื่อบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกขององค์กร รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยเริ่มต้นจากการพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตของตนเองก่อน การสร้างนวัตกรรมพลังงานสีเขียวและเทคโนโลยีใหม่ๆ การขยายธุรกิจสู่การเปลี่ยนผ่านทางพลังงานด้วยการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel – SAF) หรือไบโอเจ็ท การพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิงเรือเดินสมุทร (B24 Marine Biofuel) ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและพร้อมใช้งานจริงในระดับอุตสาหกรรม รวมถึงการศึกษาเรื่อง ‘e-Fuels’ เชื้อเพลิงสังเคราะห์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแต่ยังใช้กับเครื่องยนต์เดิมได้ อีกทั้งยังมีการขับเคลื่อนกิจกรรม Climate Action ให้กับพนักงานภายในองค์กร พร้อมส่งเสริม Net Zero Ecosystem ที่เกื้อหนุนกันกับทุกภาคส่วน
นอกจากนี้ บางจากฯ ยังให้การสนับสนุนเรื่องการสร้างสมดุลของระบบนิเวศและเชื่อมโยงสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ผ่านโครงการดูดซับคาร์บอนด้วยวิถีธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นงานปลูกป่า (Green Carbon) ที่ทำในพื้นที่ป่าชุมชน ร่วมกับกรมป่าไม้และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และโครงการพรรณดี ที่สนับสนุนสมาชิกสหกรณ์การเกษตรในการปลูกยาง ปลูกปาล์มน้ำมัน ที่สอดคล้องกับวิถีคาร์บอนต่ำ
ในด้านการดูดซับคาร์บอนจากระบบนิเวศทางทะเล (Blue Carbon) กลอยตา ณ ถลาง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ งานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท บางจากฯ เล่าว่า “เราศึกษาเรื่อง ‘หญ้าทะเล’ มาหลายปี และพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ระบบนิเวศหญ้าทะเลมีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนได้มากเป็นอันดับ 2 รองจากระบบนิเวศทุนดรา และในประเทศไทยมีแหล่งหญ้าทะเลครอบคลุมในพื้นที่ 17 จังหวัด มีพื้นที่ศักยภาพที่มีหญ้าทะเลประมาณ 1.6 แสนไร่ หนึ่งในนั้นคือแหล่งหญ้าทะเล หมู่เกาะหมาก จ.ตราด ที่เป็นแหล่งหญ้าทะเลที่อยู่ในแนวปะการังผืนใหญ่ของภาคตะวันออก ที่ผ่านมาในบริเวณเกาะหมาก เกาะกระดาดเคยมีหญ้าทะเลผืนใหญ่ แต่ปัจจุบันกลับมีเนื้อที่และความหลากหลายชนิดของหญ้าทะเลลดลง”
“ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด โดยเฉพาะชุมชนที่ดำรงชีพโดยพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ อย่างชุมชนเกาะหมาก ที่เผชิญกับความจริงที่ว่าจำนวนสัตว์น้ำที่ลดลง ชาวประมงต้องออกเรือหาปลาระยะทางไกลขึ้น และปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น สภาวะเหล่านี้สะท้อนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงต้องพยายามแก้ไขปัญหาด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องและความเชี่ยวชาญของทุกฝ่าย”

บางจากฯ จึงจับมือกับทั้ง 4 พันธมิตร ซึ่งเดินหน้าภารกิจสร้างความตระหนักรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนำไปสู่การลงนาม MOU ในปี 2565
ภายใต้ข้อตกลง ‘การพัฒนาพื้นที่หมู่เกาะหมาก สู่เป้าหมาย Low Carbon Destination’ คือ การศึกษาความเป็นไปได้ในการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ของแหล่งหญ้าทะเล และสำรวจเพื่อประเมินศักยภาพของพื้นที่ฟื้นฟูหญ้าทะเลให้มีโอกาสรอดยิ่งขึ้น ทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ และนำไปสู่การพัฒนาแนวทางทำงานที่ติดตาม เน้นการถ่ายทอดองค์ความรู้จากงานวิจัยสู่ชุมชน เพื่อต่อยอดงานอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาที่พันธมิตรทั้ง 5 หน่วยงานลงความเห็นที่จะพัฒนาศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลและปะการัง หมู่เกาะหมาก ขึ้นมา

จากงานวิจัยบนหิ้ง สู่การแก้ไขปัญหาในพื้นที่จริง ณ ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลและปะการัง หมู่เกาะหมาก
ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลและปะการัง หมู่เกาะหมาก ถือเป็นโรงเรือนอนุบาลหญ้าทะเลโดยชุมชนแห่งแรกของประเทศ ซึ่งถอดแบบการก่อสร้างมาจากโรงเรือนหญ้าทะเลจากหน่วยวิจัยหญ้าทะเลต้านโลกร้อน สถานีวิจัยประมงศรีราชา คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และยังเป็นโรงเรือนอนุบาลหญ้าทะเลแห่งแรกที่ใช้ต้นกล้าจากการเพาะเมล็ดและเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยรบกวนต้นพันธุ์ในธรรมชาติให้น้อยที่สุด ซึ่งจะช่วยให้การทำงานอนุรักษ์และฟื้นฟูหญ้าทะเลในพื้นที่เป็นไปอย่างยั่งยืน อีกทั้งภายในอาคารยังมีการใช้พลังงานหมุนเวียนจากแสงอาทิตย์ เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สะท้อนแนวทางการพัฒนาพื้นที่สู่ Low Carbon Destination อย่างเป็นรูปธรรม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สุริยัน ธัญกิจจานุกิจ คณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า “สิ่งที่เราภูมิใจที่สุด คือองค์ความรู้ทางวิชาการด้านหญ้าทะเลที่ทีมศึกษาวิจัยของคณะประมงได้ดำเนินการมาอย่างยาวนานกว่าสิบปี สามารถช่วยสนับสนุนด้านวิชาการให้แก่ชุมชนเกาะหมากให้ทำงานร่วมกันได้อย่างเข้มแข็งมากขึ้น และเป็นต้นแบบของแนวทางฟื้นฟูเพื่อรักษาระบบนิเวศเพื่อโลกของเรา”
ดร.ธรณ์ บอกว่า ทั่วโลกมีหญ้าทะเลกว่า 60 ชนิด ในประเทศไทยพบอยุ่ 13 ชนิด นอกจากหญ้าทะเลจะเป็นที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสัตว์บางกลุ่ม ยังเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่ดีที่สุดในโลก ดีกว่าป่าบกถึง 10 เท่า และดีกว่าป่าชายเลน 2 เท่า แต่หญ้าทะเลกลับได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนก่อนใคร
“ไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิน้ำทะเลในบริเวณเกาะหมากวัดได้สูงถึง 40 องศาเซลเซียส และน้ำทะเลที่ลดลงต่ำมากในเวลากลางวัน ส่งผลให้หญ้าทะเลที่ชายหาดบริเวณนั้นแห้งตายกว่า 80–90% ภายในเวลาไม่กี่เดือน โดยเฉพาะหญ้าชะเงาใบยาว”
“ความท้าทายคือ พื้นที่กว่า 1,000 ไร่ ไม่มีทางที่จะฟื้นฟูได้ทั้งหมด เราจึงลดขนาดอย่างน้อยให้รอดแค่ 1% หรือประมาณ 10 ไร่ ขั้นแรกคือ ทำการสำรวจพื้นที่จริง เก็บตัวอย่างดิน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศ และใช้ดาวเทียมศึกษาว่าพื้นที่ไหนเหมาะสมกับการปลูกหญ้าทะเล จากนั้นจึงค่อยนำหญ้าทะลลงปลูก อาจใช้ตาข่ายกั้นคอกพื้นที่ปลูกหญ้าทะเล เพื่อป้องกันสัตว์เข้ามากินพื้นที่ฟื้นฟู เพิ่มอัตรารอดให้กับหญ้าทะเลในระยะต้น และติดตามต่อเนื่อง”

กลอยตา เสริมว่า นอกจาก ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลฯ จะเป็นโรงเรือนอนุบาลหญ้าทะเลแล้ว บางจากฯ ยังตั้งใจให้พื้นที่แห่งนี้เป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในการอนุรักษ์และฟื้นฟูหญ้าทะเลให้กับเยาวชน ชุมชน และนักท่องเที่ยว
“คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะยังคงเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษากับชุมชนในทางวิชาการ เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนของระบบนิเวศ ขณะเดียวกัน ชุมชนก็จะพัฒนาจิตอาสา เพื่อถ่ายทอดความรู้และร่วมสำรวจสถานการณ์ของแหล่งหญ้าทะเลไปพร้อมกับการฟื้นฟูปะการังที่เสื่อมโทรม ซึ่งเป็นการต่อยอดจากงานอนุรักษ์ที่เป็นความเชี่ยวชาญของกลุ่มจิตอาสาในพื้นที่อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีการอนุบาลลูกปลาการ์ตูนที่ได้รับการสนับสนุนจากกรมประมง เพื่อให้มีความพร้อมก่อนปล่อยลงสู่ธรรมชาติในพื้นที่เกาะหมาก สนับสนุนงานอนุรักษ์และฟื้นฟูหญ้าทะเลในพื้นที่หมู่เกาะหมากให้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง”

เกาะต้นแบบการท่องเที่ยวแบบโลว์คาร์บอน
เกาะหมาก เป็นพื้นที่เป้าหมายแห่งแรกในโครงการแหล่งท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำของประเทศไทย ที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. เป็นผู้ริเริ่มการขับเคลื่อน โดยนำหลักเกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก (Global Sustainable Tourism Criteria : GSTC) มาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดความยั่งยืน ผนวกกับการลงความเห็นของชาวเกาะหมาก ที่ใช้ ‘ธรรมนูญเกาะหมาก’ เป็นแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขของชุมชน อาทิ ไม่สนับสนุนให้เรือเฟอรี่นำยานพาหนะของนักท่องเที่ยวข้ามมายังเกาะหมาก รถจักรยานยนต์ให้เช่าต้องไม่เกินร้อยละ 70 ของจำนวนห้องพักบนเกาะ ไม่สนับสนุนการใช้วัสดุจากโฟม หรือวัสดุที่ก่อให้เกิดมลพิษเพื่อใส่อาหาร และงดส่งเสียงดังในช่วงเวลา 22.00-07.00 น. สิ่งเหล่านี้คือศักยภาพของชุมชนเกาะหมากที่เป็นเอกลักษณ์ และแสดงศักยภาพโดดเด่นด้านความยั่งยืน ชัดเจน จนได้รับเลือกให้เป็น 1 ในแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน 100 แห่งของโลก ในปี 2565
ศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. บอกว่า อพท. ตั้งเป้าภายในปี 2570 จะพัฒนาและยกระดับแหล่งท่องเที่ยวต้นแบบของไทยให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน นำไปสู่การสร้างความสุข และกระจายรายได้สู่ชุมชน ด้วยการพัฒนาระบบนิเวศและโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่พิเศษ เพื่อดันไทยให้อยู่ในอันดับดัชนีขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการเดินทางและการท่องเที่ยว (Travel & Tourism Development Index: TTDI) ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นด้านทรัพยากรธรรมชาติ และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
“เราเชื่อว่า Low Carbon is the New Luxury ซึ่งเกาะหมากก็อยู่ในแผนพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนระดับ World Class มายาวนานกว่า 20 ปี และการมีศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลฯ ในวันนี้ ก็จะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยยกระดับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้จริง”
นล สุวัจจนานนท์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะหมาก เสริมว่า “วันนี้เกาะหมากได้รับการขนานนามว่าเป็น Green Destination ยิ่งทำให้เราต้องยกระดับสิ่งอำนวยความสะดวกบนหมู่เกาะหมาก ให้ตอบสนองความต้องการและการเติบโตของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย โดยยังรักษาแนวทางการท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ พร้อมกับขับเคลื่อนการท่องเที่ยวแบบมีคุณภาพกับกลุ่ม upper income ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มประสบการณ์การท่องเที่ยวไปพร้อมกับความยั่งยืน”

เกาะหมากขึ้นชื่อเรื่องกิจกรรมท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำ ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเดินทางด้วยการปั่นจักรยาน ใช้รถไฟฟ้า หรือแม้แต่ร้านอาหารก็ใช้วัตถุดิบที่หาได้บนเกาะ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่ตอกย้ำประสบการณ์รักษ์โลกให้กับนักท่องเที่ยว เช่น การทำผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ โดยใช้สีจากใบหูกวางแห้ง ใบฝาง และดินธรรมชาติบนเกาะ มารังสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเกาะหมาก หรือกิจกรรมจิตอาสากับกลุ่ม Trash Hero Koh Mak ที่คนในชุมชนและนักท่องเที่ยวจะนัดหมายไปเก็บขยะชายหาดทุกเช้าวันเสาร์ เพื่อส่งไปคัดแยกและกำจัดอย่างถูกต้อง และบางส่วนก็นำมาทำเป็นของที่ระลึก สร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนอีกด้วย
อีกหนึ่งไฮไลท์การท่องเที่ยวเกาะหมาก คือกิจกรรมปลูกปะการังที่ดูแลโดย ‘กลุ่มอนุรักษ์ปะการัง เกาะหมาก’ โดยมี นพดล สุทธิธนกูล ประธานกลุ่มวิสาหกิจเกษตรผสมผสานบ้านอ่าวนิด และประธานกลุ่มอนุรักษ์ปะการัง เกาะหมาก อยู่เบื้องหลัง
นพดล เล่าว่า กลุ่มอนุรักษ์ปะการังเกาะหมาก ได้รับใบอนุญาตจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้ฟื้นฟูปะการังในพื้นที่หมู่เกาะหมากมากว่า 10 ปี แล้ว เพราะผลงานเป็นที่ประจักษ์ และประสบความสำเร็จอย่างสูงในการปลูกปะการังมากกว่า 7,000 กิ่ง ในพื้นที่ใต้ทะเลรอบเกาะ รวมทั้งขยายผลถึงการอนุรักษ์หญ้าทะเล ส่งผลให้ความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำกลับคืนมา
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราตั้งใจที่จะเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของทีมงานให้สามารถดูแลทรัพยากรและสภาพแวดล้อมรอบบ้านของตนเองได้มากขึ้น ซึ่งแหล่งหญ้าทะเลและแนวปะการังก็เป็นเสมือนอู่ข้าวอู่น้ำสำคัญของคนในชุมชน เราจึงตั้งใจที่จะส่งผ่านความมุ่งมั่นนี้ไปถึงนักท่องเที่ยว ที่อยากจะร่วมมือกันรักษาปะการังและหญ้าทะเล อย่างกิจกรรมปลูกปะการัง เราจะให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้วิธีฟื้นฟูปะการัง ช่วยทำแปลงอนุบาลปะการังบริเวณชายหาดก่อน แล้วส่งต่อให้ทีมดำน้ำนำแปลงอนุบาลไปปักหมุดฐานที่พื้นทะเล บริเวณเดิมที่เคยมีปะการังอาศัยอยู่”

ส่วนกิจกรรมปลูกหญ้าทะเล จะนำต้นอ่อนหญ้าชะเงาใบยาวไปปลูกลงในกระถางใยมะพร้าวที่สามารถย่อยสลายได้ ซึ่งโดยปกติการเพาะกล้าอ่อนจากเมล็ดและจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะใช้เวลาอนุบาลในกระถางประมาณ 6 เดือนก่อนย้ายลงสู่ทะเล และใช้เวลาประมาณ 2 ปีในการเกิดต้นใหม่
“เรามุ่งมั่นที่จะเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องในงานฟื้นฟูหญ้าทะเลและปะการังตามหลักวิชาการ และพัฒนาความร่วมมือเชื่อมโยงกับทุกภาคี เพื่อส่งต่อทรัพยากรให้กับลูกหลานต่อไป”

ที่ผ่านมา บางจากฯ ได้เข้าร่วมภารกิจสนับสนุนแหล่งท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำบนเกาะหมาก ด้วยการนำมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า Winnonie มาใช้บนเกาะหมาก สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ถุงมือและเสื้อที่ผลิตจากขวด PET รีไซเคิล มอบให้ทีมอาสาสมัคร Trash Hero Koh Mak สำหรับเก็บขยะชายหาด และทีมงานวิสาหกิจชุมชนเกษตรผสมผสานบ้านอ่าวนิด ใช้สำหรับกิจกรรมอนุรักษ์และฟื้นฟูหญ้าทะเล
“จากนี้ไป เราอยากเห็นการดูแลและต่อยอดที่ยั่งยืน เพราะคำว่า ‘ศูนย์เรียนรู้’ หมายความว่าคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวต้องได้เรียนรู้ อย่างน้อยทำให้คนที่มาได้รู้ว่าหญ้าทะเลสำคัญอย่างไร แม้โอกาสที่ธรรมชาติจะกลับมา 100% คงเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยสิ่งนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจให้เห็นว่าทำไมหญ้าทะเลและปะการังถึงสำคัญ” กลอยตากล่าวทิ้งท้าย
ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชม ‘ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลและปะการัง หมู่เกาะหมาก’ สามารถติดต่อล่วงหน้าที่ได้ อบต. เกาะหมาก โทร. 0-3951-0748 และกลุ่มอนุรักษ์ปะการัง เกาะหมาก โทร. 08-9512-5500


