×

‘ติโม แวร์เนอร์’ (ว่าที่) สายฟ้าสีน้ำเงินคราม กับเชลซีโฉมใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ

08.06.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • การคว้าตัว ติโม แวร์เนอร์ เป็นการพิสูจน์แนวทางใหม่ของเชลซีที่เลือกสตาร์ฝีเท้าดีมาเสริมทัพมากกว่าจะเลือกนักเตะระดับโลกที่เก่งแบบสำเร็จรูปมาแล้ว
  • แต่ก่อนหน้าจะเป็นแวร์เนอร์ เชลซีเคยให้ความสนใจตัวเก๋าอย่าง ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง และดรีส เมอร์เทนส์ มาก่อน
  • แวร์เนอร์สามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งในแนวรุก และสามารถเล่นร่วมกับตัวรุกที่เชลซีมีอยู่เดิมทุกตัว โดยเฉพาะ แทมมี อับราฮัม กองหน้าดาวรุ่งที่ยังเป็นตัวเป้าในใจของ แฟรงค์ แลมพาร์ด เหมือนเดิม

ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะค่อนข้างมั่นใจได้สำหรับทีม ‘สิงโตน้ำเงินคราม’ เชลซี ว่าพวกเขาจะได้ตัวหนึ่งในกองหน้าผู้ร้อนแรงที่น่าจับตามองมากที่สุดของปีนี้อย่าง ติโม แวร์เนอร์ จากแอร์เบ ไลป์ซิก มาร่วมทีมค่อนข้างแน่

 

และการได้ตัวกองหน้าทีมชาติเยอรมนีรายนี้มาร่วมทีมเป็นการประกาศจุดยืนที่น่าสนใจบางอย่างของทีมยักษ์ใหญ่แห่งลอนดอน กับ ‘ทิศทาง’ ใหม่ของพวกเขาที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

 

ย้อนหลังกลับไปในช่วง 1 ปีก่อน เชลซีกำลังประสบปัญหาอย่างหนักจากการถูกลงโทษไม่ให้ทำการซื้อผู้เล่นเข้ามาเสริมทีมได้ 2 รอบตลาดการซื้อขาย จากความผิดในคดีเกี่ยวกับการดึงตัวนักฟุตบอลในระดับเยาวชนมาแบบผิดกฎ

 

นอกจากนี้พวกเขายังเสีย เอเดน อาซาร์ จอมทัพหมายเลขหนึ่งที่ถึงเวลาต้องย้ายไปร่วมทีม ‘ราชันชุดขาว’ เรอัล มาดริด ตามความฝันของตัวเอง และโค้ชอย่าง เมาริซิโอ ซาร์รี ก็ถึงเวลาอันควรที่จะต้องไปจากสแตมฟอร์ดบริดจ์ โดยสิ่งที่ทั้งสองทิ้งไว้ก่อนการจากไปคือตำแหน่งแชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก 

 

นั่นหมายถึงเชลซีเจอแจ็กพอต 3 ชั้น ต้องหาโค้ชใหม่ เสียนักเตะหมายเลขหนึ่ง และไม่สามารถซื้อผู้เล่นเข้ามาเสริมทัพได้ ไม่นับในเรื่องกระแสข่าวการอาจจะถอนตัวของ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรที่ประสบปัญหาในการขอวีซ่าเพื่อเข้าอังกฤษจนทำให้ต้องระงับการลงทุนสร้างสนามใหม่ของทีม

 

แต่ในวิกฤตกลับเป็นโอกาสให้เชลซีได้ทำการเปลี่ยนแปลงตัวเองถึงในระดับดีเอ็นเอของสโมสร

 

จากทีมที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการทุ่มเงินมหาศาลเพื่อคว้าผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์ที่ดีที่สุดมาร่วมทีมให้ได้ เชลซีกลายเป็นทีมที่เน้นผลักดันผู้เล่นในระดับเยาวชนอย่างเต็มที่ และให้โอกาสกับโค้ชมือใหม่แต่เป็นขวัญใจของสโมสรมาก่อนอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่เพิ่งมีประสบการณ์ในการทำงานคุมทีมแค่ปีเดียวกับดาร์บี เคาน์ตี ได้ทำในสิ่งที่ตัวเขาเชื่อ

 

นั่นทำให้เราได้เห็นนักเตะอย่าง เมสัน เมาท์, แทมมี อับราฮัม ได้โอกาสแจ้งเกิดเป็นขวัญใจของแฟนบอล รวมถึง ฟิกาโย โทโมรี, เคิร์ต ซูมา, รูเบน ลอฟตัส-ชีค, แคลลัม ฮัดสัน-โอดอย และรีซ เจมส์ ที่ก้าวขึ้นมามีบทบาทในทีม

 

รายล่าสุดคือ บิลลี กิลมัวร์ กองกลางห้องเครื่องวัย 18 ปี ที่กลายเป็นสตาร์คนใหม่ของทีมภายในการลงสนามแค่ 7 นัดเท่านั้น!

 

อย่างไรก็ดี แลมพาร์ดและบอร์ดบริหารรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถโยนทุกสิ่งทุกอย่างในมือเด็กๆ เหล่านี้แล้วสั่งให้พวกเขาประสบความสำเร็จได้

 

เชลซียังต้องการผู้เล่นในระดับสตาร์ที่ผ่านการพิสูจน์ตัวเองแล้ว แต่สิ่งที่จะแตกต่างออกไปคือพวกเขาไม่ได้สนใจนักเตะระดับโลกที่เปรียบเหมือนกาแฟสำเร็จรูปที่เปิดซองใส่น้ำร้อนแล้วดื่มได้เลย

 

พวกเขาต้องการนักเตะที่มีโอกาสจะก้าวไปเป็นแข้งระดับโลกที่เปรียบเหมือนเมล็ดกาแฟสายพันธุ์ดี โดยพวกเขาพร้อมจะค่อยๆ บดอย่างตั้งใจและดริปอย่างใจเย็น

 

ติโม แวร์เนอร์ คือนักเตะในแบบนั้น

 

 

จากโอบาเมยองเป็นแวร์เนอร์

ในแผนการเล่นสไตล์ของแลมพาร์ด เชลซีจะมีผู้เล่นในแนวรุก 3 คน โดยที่ผ่านมาเป็น แทมมี อับราฮัม, โอลิวิเยร์ ชิรูด์, เปโดร โรดริเกซ, เมสัน เมาท์, คริสเตียน พูลิซิช และวิลเลียน ที่ประจำการอยู่

 

สามคนในนั้นคือ ชิรูด์ เปโดร และวิลเลียน ไม่ต่างอะไรจากไม้ใกล้ฝั่ง แม้จะมีทีเด็ดเหลืออยู่มาก แต่เวลาของพวกเขากับสโมสรเหลือน้อยเหลือเกิน โดยเฉพาะสองรายหลังที่ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะไปจากสโมสรหลังหมดสัญญาในฤดูกาลนี้ 

 

นั่นทำให้แลมพาร์ดจำเป็นต้องหาตัวตายตัวแทนเป็นการเร่งด่วน เพราะแม้จะมีพูลิซิชที่เพิ่งจะอยู่กับทีมแค่ฤดูกาลแรก แต่ก็ยังอยู่ในช่วงของการปรับตัว และที่ผ่านมาประสบปัญหาอาการบาดเจ็บมากมาย 

 

ความสำเร็จแรกของเชลซีคือการที่พวกเขาสามารถบรรลุข้อตกลงกับอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในการคว้าตัว ฮาคิม ซิเยค ปีกตัวทำเกมคนสำคัญของยอดทีมลีกดัตช์มาร่วมทีมได้สำเร็จด้วยค่าตัวเบื้องต้น 40 ล้านยูโร พร้อมกับออปชันในการจ่ายโบนัสตามเงื่อนไข

 

 

ซิเยคจะเป็นคำตอบของจินตนาการและความสร้างสรรค์ที่แลมพาร์ดต้องการ และด้วยฝีเท้ากับประสบการณ์ที่ไม่น้อย สตาร์ชาวโมร็อกโกจะช่วยทีมที่เต็มไปด้วยดาวเตะวัยรุ่นได้อย่างดี

 

สิ่งที่กุนซือคนหนุ่มยังขาดคือกองหน้าที่มีสถิติการจบสกอร์ที่ไว้ใจได้ในระดับ 20 ประตูขึ้นไปต่อฤดูกาล ซึ่งครั้นจะโยนความกดดันให้แก่ดาวรุ่งวัย 22 ปีอย่างอับราฮัมก็ไม่ใช่สิ่งที่สโมสรในระดับเชลซีควรทำ

 

นั่นทำให้แลมพาร์ดต้องการกองหน้าที่มีประสบการณ์และมีโอกาสในการย้ายทีมได้อย่าง ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง ที่ไม่มั่นใจกับอนาคตของตัวเองในทีมอาร์เซนอล และเหลือสัญญาอีกแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น

 

แต่ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปหลังเกิดวิกฤตโควิด-19 ลิเวอร์พูลซึ่งเคยเป็นตัวเก็งเต็งหนึ่งที่จะได้ตัว ติโม แวร์เนอร์ มาร่วมทีมเริ่มประสบปัญหาทางการเงินจากความสูญเสียที่แฟนฟุตบอลไม่สามารถเข้ามาชมเกมในสนามได้ ทำให้ไม่สามารถดึงตัวมาร่วมทีมได้ตามที่เคยพูดไว้ในช่วงซัมเมอร์นี้

 

ปัญหาของลิเวอร์พูลกลายเป็นโอกาสของเชลซี เพราะแวร์เนอร์ไม่ต้องการที่จะรอการย้ายทีมอีก 1 ปีตามที่เคยคิดไว้ นั่นทำให้สิงโตน้ำเงินครามแห่งลอนดอนเร่งเครื่องทำการเจรจาทันที เพราะด้วยฝีเท้าที่ไม่มีอะไรต้องกังขา ดีกรีถือว่าได้ และด้วยอายุอานามแค่ 24 ปี ยังหนุ่มกว่าโอบาเมยองถึง 7 ปีด้วย (โดยเป้าหมายอีกรายคือ ดรีส เมอร์เทนส์ กองหน้าประสบการณ์สูงทีมชาติเบลเยียมที่เดิมจะหมดสัญญา แต่เปลี่ยนใจต่อสัญญาใหม่กับทีม)

 

การเจรจาใช้เวลาไม่นานก็สามารถปิดดีลได้สำเร็จ โดยหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกเขาประสบชัยในการเจรจาครั้งนี้เกิดจากความเชื่อใจในตัวแลมพาร์ดของกองหน้าชาวเยอรมันที่เป็นโค้ชรุ่นใหม่ที่มีฝีมือในการคุมทีมโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ นอกจากสไตล์การเล่นที่สวยงาม เร้าใจ ผลงานการประคับประคองเชลซีให้อยู่อันดับ 4 และมีผลงานที่ดีขึ้นตามลำดับถือว่าน่าจับตามอง

 

อีกจุดคือการที่เชลซีเน้นความสำคัญของการสร้างทีมด้วยการให้โอกาส ‘คนรุ่นใหม่’​ เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น ซึ่งก่อนหน้ารายของแวร์เนอร์ เมื่อฤดูกาลก่อนหน้าพวกเขาตกลงคว้าตัวพูลิซิชจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์มาล่วงหน้า และเลือกที่จะใช้ออปชันในการซื้อ มาเตโอ โควาซิช จากเรอัล มาดริด ก่อนจะเป็นคิวของซิเยค

 

เป้าหมายอื่นที่มีกระแสข่าวคือ เบน ชิลเวลล์ แบ็กซ้ายดีกรีทีมชาติอังกฤษของเลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในแบ็กที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีก

 

ความเป็นทีมของคนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยแรงใจและไฟฝันกลายเป็นภาพลักษณ์ใหม่ของเชลซี ทำให้พวกเขาเป็นอีกหนึ่งสโมสรที่น่าจับตามองและน่าเอาใจช่วย ซึ่งเป็นภาพที่แตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง

 

 

สายฟ้าสีน้ำเงินคราม ฟาดตรงไหนเปรี้ยงตรงนั้น

ด้วยผลงาน 25 ประตูจากการลงสนามในศึกบุนเดสลีกา 30 นัดในฤดูกาลนี้ ทำให้แวร์เนอร์ย่อมถูกคาดหมายอย่างสูงแน่นอน

 

แต่คำถามที่หลายคนอยากรู้คือตกลงแล้วเขาจะเล่นตรงไหน และคำถามต่อมาคือเขาจะดับอนาคตของกองหน้าอย่างอับราฮัมหรือไม่

 

สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือการที่แลมพาร์ดและทีมงานไม่ได้แจ้งอับราฮัมเกี่ยวกับเรื่องของแวร์เนอร์มาก่อน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเชลซีตั้งใจที่จะเขี่ยกองหน้าร่างโย่งออกจากทีมทันที

 

ในทางตรงกันข้าม แลมพาร์ดกลับเชื่อว่าการมาของแวร์เนอร์​จะช่วยสร้างแรงกระตุ้นและแรงกดดันให้กับอับราฮัมได้เป็นอย่างดี และกุนซือคนหนุ่มก็ยังมองกองหน้าวัย 22 ปีรายนี้เป็น ‘ศูนย์กลาง’ ในแนวรุกของทีมเหมือนเดิม

 

ขณะที่แวร์เนอร์เป็นกองหน้าที่สามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งในแนวรุก รวมถึงการถ่างออกไปยืนริมเส้นโดยที่ยังสามารถหาพื้นที่และโอกาสในการทำประตูได้อย่างสบายๆ ซึ่งในฤดูกาลนี้เขาถูกปรับตำแหน่งการเล่นจากการยืนตัวกลางมาเป็นการเยื้องทางซ้ายเล็กน้อย ทำให้สามารถปลดปล่อยศักยภาพในตัวได้อย่างเต็มที่

 

จุดเด่นของดาวยิงรายนี้คือความสามารถในการทะลุทะลวงแนวรับคู่ต่อสู้ได้ด้วยการวิ่งหาตำแหน่งอย่างชาญฉลาด และความเร็วที่เหมือนสายฟ้าฟาด

 

ถึงจะดูไม่ใช่คนที่จบสกอร์ได้เนี้ยบและคมกริบ แต่การหาโอกาสที่ดีก็ทำให้แวร์เนอร์กลายเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในยุโรปในฤดูกาลนี้

 

ดังนั้นกับเชลซี เขาสามารถยืนตรงไหนก็ได้ในแนวรุก ตั้งแต่ตัวริมเส้นฝั่งซ้าย หรือจะสลับไปยืนฝั่งขวา (ยามปกติควรจะเป็นของซิเยค) หรือจะให้ยืนศูนย์หน้าตัวเป้าแทนอับราฮัม หรือจะให้ยืนคู่กันโดยถอยลงมาเป็นกองหน้าตัวต่ำก็ได้ ไม่แตกต่างกัน

 

หรือหากแลมพาร์ดจะเลือกเขายืนเป็นตัวกลาง โดยมีพูลิซิชและซิเยคยืนขนาบซ้าย-ขวา ก็น่าสยองขวัญสำหรับกองหลังฝั่งตรงข้ามไม่แตกต่างกัน สายฟ้าฟาดตรงไหนก็เปรี้ยงตรงนั้น

 

แต่เหนืออื่นใดสำหรับเชลซีคือความรู้สึกคึกคักกระชุ่มกระชวยที่กลับมาสู่พวกเขาอีกครั้ง

 

สิ่งนี้ไม่สามารถประเมินค่าด้วยเงินตราได้ แค่นี้ก็นับว่าเกินคุ้มแล้ว

 

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

FYI
  • การเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการของแวร์เนอร์คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้ แม้ช่วงสุดสัปดาห์จะมีกระแสข่าวในทางว่าการเจรจายังไม่จบดี และลิเวอร์พูลแอบมีลุ้น แต่ตามทิศทางข่าวแล้วไม่มีปัญหาสำหรับเชลซี
  • ในฤดูกาลนี้แวร์เนอร์มีโอกาสง้างเท้า 4.1 ครั้งต่อเกม น้อยกว่า โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี คนเดียวในบุนเดสลีกา และมากกว่า โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ของลิเวอร์พูล (3.9) ขณะที่อับราฮัมทำได้แค่ 3.4 ครั้งต่อเกม
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X