ทิม คุก ซีอีโอ Apple ประกาศว่าในไตรมาสเดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป iPhone ส่วนใหญ่ที่ขายในสหรัฐฯ จะมีแหล่งผลิตหลักจากอินเดีย ขณะที่ผลิตภัณฑ์ iPad, Mac, Apple Watch, และ AirPods ทั้งหมดจะผลิตในเวียดนามมากขึ้น ส่วนฐานผลิตในจีนยังคงเป็นศูนย์กลางการผลิตหลัก เพื่อส่งออกไปยังประเทศอื่นๆทั่วโลก
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นถือเป็นการกระจายความเสี่ยงเพื่อรับมือกับกำแพงภาษีสหรัฐฯที่ได้เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสูงถึง 145% และแม้ว่า Apple จะมีการผลิตจากอินเดียมากขึ้น แต่จีนยังคงเป็นผู้จัดหาผลิตภัณฑ์และวัสดุส่วนใหญ่สำหรับการขายในตลาดนอกสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ Apple ต้องรับมือกับต้นทุนจากภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นถึง 900 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Apple ‘หนีจีน’ ซบอินเดีย ผลิต iPhone ทะลุ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์
- ฝันเฟื่อง ‘Make iPhone in USA?’ Trump บีบ Apple ย้ายฐานการผลิต
- Magnificent 7 กอดคอร่วง! Apple นำดิ่งแรง 19% ภายใน 3 วัน
ซีอีโอ Apple กล่าวในงานประชุมกับนักวิเคราะห์ว่า บริษัทได้รับผลกระทบของภาษีนำเข้าแบบจำกัด เนื่องจากสามารถปรับห่วงโซ่อุปทานให้สอดรับกับธุรกิจได้
ด้านผลประกอบการ Apple ในไตรมาสเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยยอดขาย iPhone ยังเป็นรายได้หลักของ Apple เพิ่มขึ้น 1.9% หรืออยู่ 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์
ตลาดหลักๆที่ทำรายได้คือตลาดอเมริกาและญี่ปุ่น โดยเฉพาะในญี่ปุ่นที่มีการเติบโตถึง 16.5% ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงที่สุดในทุกภูมิภาค ขณะที่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอื่นๆ มีการเติบโตอยู่ที่ 8.4% แต่ตลาดจีนยังน่าเป็นห่วงเพราะยอดขายกลับลดลง 2.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากไม่สามารถสู้การแข่งขันกับแบรนด์ท้องถิ่นได้
ทั้งนี้ Apple คาดการณ์ว่า ในไตรมาสเดือนเมษายน-มิถุนายนนี้ แม้ว่าจะเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ รวมถึงกำแพงภาษีสหรัฐฯ แต่บริษัทยังคาดว่าจะสามารถเติบโตได้ในระดับตัวเลขหลักเดียวได้แน่นอน
นอกจากนี้ Apple ยังได้ประกาศในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า บริษัทจะลงทุน 5 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อลงทุนในสหรัฐฯในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งจะรวมถึงการลงทุนเพิ่มในส่วนของโรงงาน Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. (TSMC) ที่รัฐแอริโซนา
“สุดท้ายแล้วการย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังอินเดียและเวียดนาม ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงของ Apple เพราะเรามีบทเรียนจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ที่ทำให้เรารับรู้ได้ว่า การมีทุกอย่างอยู่ในที่เดียวกันมันมีความเสี่ยงเกินไป” ทิม คุก ซีอีโอ Apple ย้ำ
ภาพ: Hadrian / Shutterstock
อ้างอิง: