วันนี้ (27 สิงหาคม) พล.ต.อ. สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า วันนี้จะมีการสอบสวนผู้ต้องหาเพิ่มเติมให้ได้ประเด็นครบทุกประเด็นที่สังคมสงสัย รวมถึงสอบให้ครบทุกปาก ก่อนที่จะนำตัวทั้งสองฝากขังในช่วงบ่าย หรือหากยังมีข้อสงสัยที่ต้องสอบเพิ่ม ก็จะนำตัวฝากขังพรุ่งนี้ ซึ่งทิศทางการสอบปากคำเป็นไปด้วยดี
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความยุติธรรม อีกสักระยะจะส่งสำนวนไปให้ส่วนกลางเป็นผู้ดำเนินคดี เพื่อไม่ให้ประชาชนเคลือบแคลงสงสัย รวมถึงจะแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 157 ไปให้ศาลประพฤติมิชอบและทุจริตกลาง หรือที่ตำรวจภูธร ภาค 6
ส่วนประเด็นที่มีการเรียกรับผลประโยชน์เงิน 1 ล้านบาทนั้น พล.ต.อ. สุชาติ กล่าวว่า ในคลิปวงจรปิดฉบับเต็มที่ตำรวจมี เมื่อตรวจสอบแล้วยังไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้ได้ว่ามีการพูดเรียกรับผลประโยชน์ รวมถึงการสอบพยานก็ยังไม่พบประเด็นนี้ ซึ่งสิ่งที่ตรวจสอบในคลิปก็ไม่แตกต่างจากที่มีการเผยแพร่ในโลกออนไลน์ แต่ก็ไม่ได้หยุดนิ่งที่จะขยายผล เพราะเป็นประเด็นที่ค้างคาใจอยู่ แต่ในข้อเท็จจริง จะไปกล่าวหาหรือยัดเยียดข้อกล่าวหาไม่ได้
นอกจากนี้ประเด็นที่อดีตผู้กำกับโจ้อ้างว่าลูกน้องได้ห้ามแล้ว และขอรับผิดคนเดียวนั้น จากการตรวจสอบในคลิป เสียงช่วงดังกล่าวก็ยังไม่ชัดเจน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการห้ามจะช่วยบรรเทาโทษได้
พล.ต.อ. สุชาติ กล่าวด้วยว่า เมื่อคืนมีการสอบปากคำ อดีตผู้กำกับโจ้ก็ยังให้การเหมือนกับที่ให้สัมภาษณ์สื่อ ซึ่งเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหา แต่การอ้างว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้เสียชีวิตนั้น เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาในลักษณะเดียวกันว่า ถุงห้ามนำมาครอบศีรษะ ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการกระทำที่เล็งเห็นผล
อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในกระบวนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยืนยันไม่มีการช่วยเหลือ เพราะใครจะเอาตัวเองและคณะเข้าคุกเข้าตารางไปด้วย
พล.ต.อ. สุชาติ กล่าวต่อไปว่า สำหรับที่เมื่อวานนี้ระหว่างแถลงว่าตนเองได้ตัดบทในระหว่างการสัมภาษณ์ แล้วถูกมองว่าเป็นการช่วยเหลือผู้ต้องหาหรือไม่ พล.ต.อ. สุชาติ กล่าวว่า เช่นนั้นแล้วคุณจะให้สื่อเป็นศาลเตี้ยใช่หรือไม่ สื่อคือศาลหรือ และให้การไปแล้ว ตกลงต้องขึ้นศาลหรือไม่ แล้วแต่ความคิดของประชาชน ไปห้ามไม่ได้ พร้อมระบุด้วยว่าการยึดถือหลักการข้อกฎหมายเป็นเรื่องสำคัญ
ส่วนกรณีของรถทุกคันที่ใช้ในการหลบหนีหรือพาหลบหนี ตำรวจมีข้อมูลรถทุกคันแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ รายละเอียดอยู่ในสำนวน
