×

สิ่งที่ทำให้ ลูอิส แฮมิลตัน กลายเป็น ‘นักขับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด’ ตลอดกาล

17.11.2020
  • LOADING...
สิ่งที่ทำให้ ลูอิส แฮมิลตัน กลายเป็น ‘นักขับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด’ ตลอดกาล

HIGHLIGHTS

  • ความเชื่อมั่นในตัวเองคือหนึ่งในอาวุธที่สำคัญที่สุดสำหรับ ลูอิส แฮมิลตัน และเขาไม่ลังเลที่จะแสดงออกมาให้เห็นตั้งแต่ในฤดูกาลแรกด้วยการห้ำหั่นกับแชมป์โลก 2 สมัยที่เป็นนักขับมือหนึ่งร่วมทีมอย่าง เฟอร์นานโด อลอนโซ
  • ถึงจะเป็นคนที่รักชัยชนะ แต่แฮมิลตันไม่เคยเกลียดความพ่ายแพ้ ในทางตรงกันข้าม เขามองว่าช่วงเวลาที่จะเรียนรู้ได้ดีที่สุดคือช่วงเวลาที่เขาแพ้
  • เมื่ออยู่ในจุดที่สามารถจะยืนหยัดเพื่อคนอื่นได้ เสียงของเขาส่งไปถึงใจของคนในวงกว้างได้ และเขาเข้มแข็งมากพอที่จะต่อสู้เพื่อความยุติธรรมโดยไม่ไหวหวั่นได้ แฮมิลตันจึงตัดสินใจว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อาชีพหลักของเขาไม่ใช่นักกีฬาธรรมดาอีกแล้ว แต่เป็นนักต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมกันที่เผอิญมีงานอดิเรกเป็นการแข่งรถ

ในวินาทีแห่งชัยชนะที่เขาได้กลายเป็นนักขับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล สิ่งที่ ลูอิส แฮมิลตัน ทำคือการย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

 

เด็กน้อยที่นั่งร้องไห้อยู่คนเดียว เพราะไม่อาจสะกดกลั้นความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ได้อีก

 

หยาดน้ำตาในช่วงเวลาไม่กี่วินาทีนั้นคือความรู้สึกของการเดินทางตลอดระยะเวลา 27 ปี จากสนามแข่งรถโกคาร์ตสู่การเป็นนักขับที่มาจนถึงการได้เป็นแชมป์โลก 7 สมัยเทียบเท่ากับ มิชาเอล ชูมัคเกอร์ ยอดนักขับในตำนาน ที่ไม่เคยมีใครคิดว่าจะมีคนทำได้แบบเดียวกันมาก่อน

 

ในความสำเร็จของเขานั้นแน่นอนว่าส่วนสำคัญเกิดจากสิ่งที่ฟ้าประทานมาให้เขาในเรื่องของทักษะการขับรถแข่งที่ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็สามารถทำได้ และแฮมิลตันดูคล้ายจะได้รับพรนั้นมากกว่าใครในยุคนี้

 

แต่นั่นเป็นเพียงด้านเดียวและจะเป็นการตัดสินเขาโดยผิวเผินเกินไป

 

ความสำเร็จและความยิ่งใหญ่ของ ลูอิส แฮมิลตัน นั้นเกิดขึ้นจากหลายสิ่งหลายอย่างที่ประกอบเข้าด้วยกัน

 

ลูอิส แฮมิลตัน น้องใหม่ผู้ท้าชนแชมป์โลก เฟอร์นานโด อลอนโซ

 

  1. ความเชื่อมั่นในตัวเองคือทุกสิ่ง

นักกีฬากับพรสวรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องประหลาด โลกใบนี้เต็มไปด้วยเหล่ายอดนักกีฬาที่มีพรสวรรค์มากมายครับ

 

แต่ในบรรดานักกีฬาเหล่านั้นจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งหนึ่งในองค์ประกอบที่จะเป็น ‘ตัวกรอง’ คือเรื่องของความเชื่อมั่น

 

ว่ากันในเรื่องนี้ชัดเจนครับว่า ลูอิส แฮมิลตัน คือนักกีฬาที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างมาก เขาไม่เคยสงสัยในความสามารถของตัวเองเลยแม้แต่น้อยว่าจะสู้กับคนอื่นได้ไหม ไหวไหม ไม่ว่าจะยามหลับหรือยามตื่น ไม่เคยมีสักวันที่เขาไม่เชื่อในตัวเอง

 

สิ่งที่สะท้อนเรื่องนี้ได้ชัดเจนที่สุดอาจเป็นฤดูกาลแรกในฐานะนักขับ F1 กับทีมแมคลาเรน ในปี 2007 โดยในปีนั้นทีมดังของอังกฤษได้ เฟอร์นานโด อลอนโซ ยอดนักขับชาวสเปนที่เพิ่งคว้าแชมป์ได้ 2 ฤดูกาลติดต่อกันกับทีมเรโนลต์มาร่วมทีม และมีแฮมิลตันเป็นนักขับมือสอง

 

ด้วยความเป็นซูเปอร์สตาร์ของวงการในเวลานั้น อลอนโซไม่ชอบใจนักที่รู้ว่านักขับมือสองที่จะเป็นคู่หูของเขาเป็นเด็กใหม่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เพราะคิดว่าแฮมิลตันจะกลายเป็นตัวถ่วงที่ส่งผลต่อโอกาสในการคว้าแชมป์ของเขา

 

แต่ที่ไหนได้ แฮมิลตันกลายเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความตะลึงให้แก่ทุกคน จนสื่ออิตาลีให้สมญาเขาว่า ‘Il Fenomeno’ (The Phenomenon) หลังจากที่เขาขึ้นโพเดียมติดต่อกันใน 9 สนามแรก และคว้าแชมป์ได้สำเร็จในสนามที่ 7 และเด็กน้อยชาวอังกฤษคนนี้ก็ตั้งตัวเป็นคู่แข่งที่ไม่เคยคิดจะยอมให้อลอนโซแม้แต่น้อย

 

หนึ่งในการต่อสู้ที่ดุเดือดและเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างทั้งคู่เกิดขึ้นในสนามที่ 5 รายการโมนาโก กรังด์ปรีซ์ ซึ่งในสนามนั้นอลอนโซขึ้นนำมาตั้งแต่แรก โดยมีแฮมิลตันตามมา แต่ในช่วงท้าย ซึ่งทีมได้เตือนเรื่องความร้อนของคาลิเปอร์เบรกที่อาจโอเวอร์ฮีตได้ ไอ้หนุ่มเลือดร้อนกลับไล่บี้กดดันรุ่นพี่โดยไม่จำเป็น และไม่ยอมฟังคำสั่งของทีมด้วย เพราะเขาเองก็มั่นใจในตัวเองและต้องการชัยชนะเหมือนกัน

 

ฟอร์มูลาวันในฤดูกาลดังกล่าวจึงกลายเป็นปีที่ดุเดือดที่สุดปีหนึ่ง เดือดจนน่ากลัว

 

เช่นกันกับเป็นการประกาศให้โลกได้รู้ถึงเด็กคนหนึ่งที่ไม่เพียงแค่มีพรสวรรค์ แต่เขาเชื่อมั่นในตัวเองถึงที่สุด และมันทำให้เขาไม่เคยคิดจะเทียบตัวเองกับคนอื่นเลย

 

ความเชื่อใจระหว่างเขาและทีมงานเมอร์เซเดส ทำให้พวกเขาครองความเป็นหนึ่งในวงการแบบไร้คู่แข่ง

 

  1. เชื่อใจคนอื่น (แต่ต้องถูกคน)

ถึงจะดูมีภาพลักษณ์ของความเป็นคนอีโก้จัดจนเหมือนจะไม่ฟังใครเลยก็ตาม แต่ในชีวิตจริง แฮมิลตันไม่ได้ทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว

 

ในการแข่งขัน เขามีทีมงานที่พร้อมซัพพอร์ตทุกด้าน โดยเฉพาะกับเมอร์เซเดส ทีมล่าสุดที่อยู่มาตั้งแต่ปี 2013 ที่ต่างฝ่ายต่างทำงานด้วยกันด้วยความเชื่อใจ จนทำให้รถแข่งของทีมไม่เพียงแต่จะเป็นรถที่เร็วที่สุด ยังเป็นรถแข่งที่ปรับแต่งมาอย่างเหมาะสมที่สุดที่จะทำให้แฮมิลตันระเบิดพลังในสนามได้

 

ขณะที่นอกสนามนั้นเขามีเทรนเนอร์ส่วนตัว ผู้ช่วยส่วนตัว นักจิตวิทยาส่วนตัว ตามประสานักกีฬาอาชีพที่ต้องมีคนช่วยดูแลสิ่งเหล่านี้ให้ เพราะชีวิตของการเป็นนักแข่งรถอาชีพนั้นละเอียดอ่อนอย่างมาก ปัจจัยผกผันทางร่างกายหรือจิตใจสามารถส่งผลกระทบต่อผลงานในสนามที่ใช้เวลาเสี้ยววินาทีในการตัดสิน

 

แต่นอกจากนั้นแฮมิลตันยังมีคนสำคัญอีกหนึ่งคนคือ แอนเจลา คัลเลน เพื่อนสนิทที่คอยช่วยจัดการทุกอย่างในชีวิตของเขาตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ รวมถึงคอยเป็นคนเติมพลังบวกให้ในยามที่จำเป็น ทำให้เขาสามารถโฟกัสกับการทำหน้าที่ของตัวเองได้

 

เรื่องนี้จะเห็นได้ว่าต่อให้เก่งค้ำฟ้ามาจากไหน ก็จำเป็นต้องมีคนประคับประคองด้วย

 

ที่สำคัญต้องไว้ใจให้ถูกคน

 

 

  1. รู้วิธีรับมือกับความสำเร็จและความล้มเหลว

ต่อให้เป็นแชมป์โลก 7 สมัย และคว้าแชมป์ได้ถึง 94 สนาม แต่ไม่ได้แปลว่าแฮมิลตันจะแพ้ไม่เป็น

 

ในทางตรงกันข้าม เขาก็แพ้ออกบ่อย มีหลายครั้งหลายคนที่ผลการแข่งขันออกมาไม่ได้ดั่งใจ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที

 

แต่ถึงจะเป็นคนที่รักชัยชนะ แฮมิลตันไม่เคยเกลียดความพ่ายแพ้ ในทางตรงกันข้าม เขามองว่าช่วงเวลาที่จะเรียนรู้ได้ดีที่สุดคือช่วงเวลาที่เขาแพ้

 

“ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราจะเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น เพราะในความพ่ายแพ้นั้นมันมีอะไรให้เราได้เรียนรู้มากกว่า มันคือสิ่งที่จะทำให้เราเติบโตได้ดีที่สุด”

 

เหมือนในฤดูกาลแรกที่เขาพลาดโอกาสคว้าแชมป์โลกในสนามสุดท้ายจากปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้อง ที่ทำให้สุดท้ายแล้ว เฟลิเป มาสซา คว้าแชมป์ไปครองได้ และเกือบจะเสียแชมป์อีกในฤดูกาลที่ 2 สนามสุดท้ายอีกเหมือนกัน เมื่อมาสซาผ่านธงตราหมากรุกเป็นคนแรก ทำให้เขาต้องเข้าเส้นชัยอย่างน้อยอันดับที่ 5 แต่ติดด่านสำคัญคือ ติโม กล็อก นักขับชาวเยอรมันจากทีมโตโยต้า ที่ขวางหน้าไม่ยอมให้แซงไปง่ายๆ

 

แต่สุดท้ายแฮมิลตันได้เรียนรู้จากความเจ็บปวดเมื่อ 1 ปีที่แล้วว่า ถ้าเขาตัดใจ เขาจะไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าเขาไม่ตัดใจและสู้ต่อจนถึงหยดสุดท้าย อย่างน้อยเขายังมีโอกาส ซึ่งในที่สุดเขาก็บดบี้จนกล็อกเสียท่า และเข้าเส้นชัยในอันดับ 5 ได้แชมป์โลกในที่สุด

 

ทีนี้ในเวลาที่ชนะขึ้นมา? แฮมิลตันแนะว่า “เราเรียนรู้จากความพ่ายแพ้ แต่เราหาหนทางที่จะเติบโตได้จากความสำเร็จ” 

 

เรียกได้ว่าการแพ้และชนะไม่ต่างอะไรจากสีขาวและดำ แสงสว่างและความมืด 

 

สองสิ่งนี้เป็นของคู่กัน และเราต้องรู้จักวิธีที่จะอยู่กับมัน เหมือนแฮมิลตันที่อยู่กับทั้งสองเรื่องได้โดยไม่มีปัญหาตลอด 13 ปี ในฐานะนักแข่ง

 

ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เขารู้ตัวดีเสมอว่าเขาควรจะทำอะไร

 

แฮมิลตันนำคุกเข่าในช่วงก่อนการแข่งทุกสนาม แม้ว่าไม่ใช่เพื่อนนักขับทุกคนจะทำด้วยก็ตาม

 

  1. นักกีฬาเปลี่ยนโลกได้

นอกจากจะสุดยอดในสนามแล้ว ในปีนี้เป็นปีที่ ลูอิส แฮมิลตัน เป็นหนึ่งในบุคคลที่โดดเด่นที่สุดของโลก ด้วยการประกาศจุดยืนต่อสู้กับปัญหาการเหยียดสีผิวอย่างชัดเจน เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของแคมเปญ Black Lives Matter ร่วมกับนักกีฬาระดับโลกคนอื่นๆ

 

ที่สำคัญคือเขากัดไม่ปล่อย สู้ไม่ถอยในเรื่องนี้ และไม่กลัวที่จะเรียกร้องในกีฬาที่หากจะให้ยอมรับกันตรงๆ คือกีฬาของคนผิวขาวที่ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรกับปัญหาของคนผิวดำ

 

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแฮมิลตันเจอกับการเหยียดผิวมาตั้งแต่ 8 ขวบแล้ว เพราะในโลกของการแข่งรถ ไม่เคยมีพื้นที่ให้คนผิวดำมาก่อน และมันก็เป็นสิ่งที่เขาเผชิญมาตลอด

 

ดังนั้นเมื่ออยู่ในจุดที่สามารถจะยืนหยัดเพื่อคนอื่นได้ เสียงของเขาส่งไปถึงใจของคนในวงกว้างได้ และเขาเข้มแข็งมากพอที่จะต่อสู้เพื่อความยุติธรรมโดยไม่ไหวหวั่นได้

 

แฮมิลตันจึงตัดสินใจว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อาชีพหลักของเขาไม่ใช่นักกีฬาธรรมดาอีกแล้ว

 

แต่เป็นนักต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมกันที่เผอิญมีงานอดิเรกเป็นการแข่งรถ

 

ไม่เคยมีนักแข่งรถคนไหนจะมีจุดยืนเพื่อสังคมชัดเจนเท่านี้มาก่อน และเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาก้าวไปไกลยิ่งกว่านักขับในตำนานทุกคน

 

 

  1. จงฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

ในช่วงเวลาที่ทุกคนรู้ว่า ลูอิส แฮมิลตัน ได้เป็นแชมป์โลกสมัยที่ 7 เสียงในเฮดเซ็ตดังขึ้นข้างหูของเขา เป็นเสียงแสดงความยินดีจากทีม

 

ยอดนักขับชาวอังกฤษระเบิดความรู้สึกออกมาในทีแรกด้วยเสียงหัวเราะ ด้วยความไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขากำลังทำลงไป

 

แต่หลังจากนั้นเขาได้มอบบทเรียนที่ดีที่สุดให้แก่เด็กทุกคนบนโลกใบนี้

 

“วู้! สำหรับเด็กๆ ทุกคนที่ฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”

 

“พวกนายก็จะทำได้เหมือนกัน! ผมเชื่อในตัวทุกคน!” 

 

…โดยที่ความจริงแล้ว มีเด็กอีกคนที่เขาอยากจะบอกสิ่งนี้ด้วยก็คือ เจ้าหนูลูอิส แฮมิลตัน ที่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หลังพวงมาลัย ที่ทำความฝันที่ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นไปได้ให้กลายเป็นความจริง

 

กับการทำลายสถิติของชูมัคเกอร์ เพื่อเป็นยอดนักขับอันดับหนึ่งตลอดกาล

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

อ้างอิง:

FYI
  • ลูอิส แฮมิลตัน เคยมีปัญหาอย่างรุนแรงกับพ่อที่เป็นผู้ผลักดันและทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ลูกชายได้เป็นนักแข่งรถ จนถึงขั้นแยกจากกันและไม่พูดคุยกันอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ในช่วงที่ผ่านมา ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นได้ลดลง และหลังการคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 7 นักขับชาวอังกฤษได้กล่าวขอบคุณพ่อของเขาที่ทำให้เขามีวันนี้ได้
  • แฮมิลตันเลิกกินเนื้อสัตว์มาเป็นเวลา 3 ปี หลังได้รับคำแนะนำจากคนรู้จัก ซึ่งเขายอมรับว่าเป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำได้ยากที่สุด แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสิ่งหนึ่งในชีวิตด้วยเช่นกัน เพราะหลังจากนั้นร่างกายและจิตใจของเขาคลีนอย่างมาก แทบไม่มีอาการป่วย นอนหลับสนิท
  • หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของชีวิตแฮมิลตันคือ การย้ายจากแมคลาเรนมาอยู่กับเมอร์เซเดส โดยหลังการแข่งสิงคโปร์ กรังด์ปรีซ์ เมื่อเดือนกันยายน 2012 เขาเดินทางมาพักผ่อนที่ประเทศไทย โดยที่สัญญากับเมอร์เซเดสได้ถูกส่งตามมา เพียงแต่เขายังไม่ตอบในทันที ด้วยความผูกพันและภักดีกับแมคลาเรนที่ให้โอกาสเขามาตั้งแต่อายุ 13 ปี แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเดินหน้าต่อไปในชีวิต เพราะเชื่อว่าแมคลาเรนไม่สามารถพาเขาไปได้ไกลกว่านี้แล้ว
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X