×

‘หลักนิติธรรมโลกในภาวะถดถอย’ สัญญาณเตือนและบทเรียนของไทย

07.11.2025
  • LOADING...
‘หลักนิติธรรมโลกในภาวะถดถอย’ สัญญาณเตือนและบทเรียนของไทย

หลักนิติธรรม (Rule of Law) หรือ หลักการปกครองโดยใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม เป็นรากฐานและหัวใจสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศ โดยมีผลสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม

 

อย่างไรก็ตาม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลายประเทศทั่วโลกเผชิญกับ ‘ภาวะถดถอยของหลักนิติธรรม (Rule of Law Recession) ส่งผลให้ช่องว่างระหว่างประเทศที่ ‘พัฒนา’ กับ ‘ถดถอย’ ขยายกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

โดย จอห์น เนรี (John Nery) กรรมการบริหารของ โครงการยุติธรรมโลก (World Justice Project: WJP) ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำระดับโลกด้านการส่งเสริมหลักนิติธรรม กล่าวในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 Thailand’s Next Frontier พรมแดนใหม่เศรษฐกิจไทย ฉายให้เห็นภาพรวม สถานการณ์หลักนิติธรรมโลก และผลทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่อง ณ ปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนถึงภาวะถดถอยที่รุนแรงและกว้างขวาง และเป็นสัญญาณเตือนที่ต้องระวัง ว่าการละเลยหลักนิติธรรม อาจนำไปสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

 

สำหรับประเทศไทย ซึ่งแม้จะมี ‘จุดแข็ง’ ในหลายด้าน แต่ก็ยังมีจุดอ่อนสำคัญที่ต้องระวังอีกหลายด้าน โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมาย การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน และความโปร่งใสของภาครัฐ

 

แนวโน้มหลักนิติธรรมทั่วโลก

 

เนรี ฉายภาพรวมของหลักนิติธรรม ในปี 2025 โดยชี้ให้เห็นถึงสัญญาณถดถอยอย่างต่อเนื่องทั่วโลก แม้จะมีบางช่วงที่สถานการณ์ชะลอตัวลง แต่ในปีล่าสุด สถานการณ์กลับย่ำแย่ลงอีกครั้ง

 

ดัชนีหลักนิติธรรม (Rule of Law Index) ของ WJP ปี 2025 ชี้ว่า จากทั้งหมด 143 ประเทศที่มีการสำรวจ มีมากถึง 68% ที่คะแนนหลักนิติธรรมลดลง ซึ่งสะท้อนถึงการอ่อนแอลงของกลไกสำคัญในการรักษาความเป็นธรรมและความยุติธรรมในสังคม

 

เขาชี้ว่า สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่เพียงจำนวนประเทศที่หลักนิติธรรมถดถอย แต่คือ ‘ช่องว่าง’ ระหว่างประเทศที่พัฒนาและประเทศที่ก้าวถอยหลัง ซึ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ

 

โดยเมื่อสิบปีก่อน ความแตกต่างของคะแนนระหว่างสองกลุ่มนี้อยู่ที่บวก 2% แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นติดลบ 36% นั่นหมายถึง โลกกำลังถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน ฝั่งหนึ่งคือประเทศที่หลักนิติธรรมแข็งแกร่งและเศรษฐกิจมั่นคง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือประเทศที่ระบบยุติธรรมเสื่อมถอยและการใช้อำนาจรัฐขาดการถ่วงดุล

 

ปัจจัยที่ทำให้หลักนิติธรรมถดถอย

 

เนรีชี้ว่า แรงผลักดันของภาวะหลักนิติธรรมถดถอยนี้ หลักๆ มาจากการเพิ่มขึ้นของอำนาจนิยม หรือความพยายามรวมศูนย์อำนาจ โดยเฉพาะในฝ่ายบริหาร ทั้งกลไกถ่วงดุลหลักในรัฐบาล อย่างฝ่ายนิติบัญญัติ ศาล และหน่วยงานตรวจสอบอิสระ โดยมีถึง 3 ใน 5 ของประเทศทั้งหมดที่มีการสำรวจ และพบว่ากลไกเหล่านี้ถดถอย” เนรีกล่าว

 

เขาชี้ว่า กลไกที่น่าห่วงคือ ‘ศาล’ ซึ่งถือเป็น ‘แนวป้องกันสุดท้าย’ สำหรับการใช้อำนาจเกินขอบเขตของรัฐบาล

 

“ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเราพบ ‘อิทธิพลจากรัฐบาล’ มากขึ้นเรื่อย ๆ
และในคดีแพ่ง 2 ใน 3 ของประเทศที่ที่อยู่ในการสำรวจของ WJP ก็รายงานว่ามีการแทรกแซงจากรัฐบาลเช่นกัน ซึ่งไม่เพียงแต่สถาบันเหล่านี้จะอ่อนแอลง แต่ประชาชนที่เป็นกลไกถ่วงดุลหลัก ก็อ่อนแรงลงด้วย”

 

“พื้นที่พลเมือง” หดแคบลงอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา สิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการชุมนุม การรวมกลุ่ม และการมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง ต่างก็ลดลงเกือบ 3 ใน 4 ของประเทศที่ทำการสำรวจ”

 

เนรี กล่าวว่าจากทั้งหมด 8 ปัจจัยที่ใช้ประเมินหลักนิติธรรมนั้น มี 4 ปัจจัยที่ส่งผลให้ภาวะหลักนิติธรรมถดถอย ได้แก่

 

1.การจำกัดอำนาจรัฐบาล
2.ความโปร่งใสของรัฐ
3.สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
4.กระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง

 

โดย 2 ใน 3 ของ 143 ประเทศที่ทำการสำรวจมีคะแนนลดลงในทั้ง 4 ด้านนี้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า หลักนิติธรรมมิได้ถดถอยเฉพาะในเชิงกฎหมายเท่านั้น แต่รวมถึงในเชิงโครงสร้างของสังคมที่ควรสนับสนุนให้เกิดการมีส่วนร่วมและตรวจสอบถ่วงดุล

 

สถานการณ์ของประเทศไทย

 

อย่างไรก็ตาม เนรีกล่าวว่า แม้ว่าภาพรวมของสถานการณ์ทั่วโลกจะดูมืดมน แต่ ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีผลงานดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก จากประเทศทั้งหมด 15 ประเทศ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไปจนถึงเมียนมาและกัมพูชา

 

จากดัชนีหลักนิติธรรมของ WJP ปี 2025 พบว่าประเทศไทยขยับจากอันดับ 79 ขึ้นมาอยู่ที่ 77 ในโดยมีคะแนนรวม 0.5 จากคะแนนเต็ม 1.0 ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 0.55 ถือเป็น ‘เสถียรภาพในระดับปานกลาง’ ที่แสดงถึงความก้าวหน้าในบางด้าน แม้จะยังมีช่องว่างให้พัฒนาอีกมาก

 

โดยจุดแข็งที่โดดเด่นที่สุดของไทยคือ ‘ระเบียบและความมั่นคง (Order and Security)’ ซึ่งด้คะแนนสูงถึง 0.75 แสดงให้เห็นว่า การจัดการอาชญากรรมและความขัดแย้งในประเทศมีประสิทธิภาพ และสังคมโดยรวมยังสงบเรียบร้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค

 

อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนที่สำคัญสำหรับไทยคือ ‘การบังคับใช้กฎระเบียบ (Regulatory Enforcement)’ ที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 102 จาก 143 ประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบราชการ ความล่าช้าในการบังคับใช้กฎหมาย และอาจรวมถึงปัญหาความไม่เสมอภาคในการปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างกลุ่มประชาชน

 

ผลทางเศรษฐกิจและบทเรียนของไทย

 

เนรี ยังฉายให้เห็นภาพที่ชัดเจน ในความเชื่อมโยงระหว่างหลักนิติธรรมกับภาวะเศรษฐกิจ โดยอ้างอิงข้อมูลจากการวิจัยของ WJP ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าระดับของหลักนิติธรรมกับความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจมี ‘ความสัมพันธ์โดยตรง’

 

โดยประเทศที่มีหลักนิติธรรมเข้มแข็งมักจะมีรายได้ต่อหัวสูงกว่า ซึ่งหลายประเทศรวมถึงเดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน และนิวซีแลนด์ ล้วนอยู่ใน ‘มุมขวาบน’ ของกราฟที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีหลักนิติธรรมและ GDP per capita หรือตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัว

 

นอกจากนี้ พบว่าประเทศที่มีสันติภาพมากกว่า ก็มักมีหลักนิติธรรมที่แข็งแรงกว่าเช่นกัน โดยข้อมูลจาก Global Peace Index ที่วิเคราะห์ร่วมกับดัชนีหลักนิติธรรม ให้ผลลัพธ์ชี้ชัดว่า ประเทศที่อยู่ในมุมขวาบนของกราฟ ซึ่งมีทั้งความสงบและมีหลักนิติธรรมเข้มแข็ง คือกลุ่มที่มีเศรษฐกิจและสังคมมั่นคงที่สุด

 

สำหรับประเทศไทย เนรี ทิ้งท้ายด้วยข้อคิดว่า “พรมแดนถัดไปของไทย จะอยู่ในมุมขวาบนของกราฟ” หรือหมายถึง การก้าวสู่ประเทศที่มีทั้งความสงบสุขและหลักนิติธรรม ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนา
แต่การที่จะขยับไปสู่จุดนั้นได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ไทยต้องเสริมความเข้มแข็งของสถาบันยุติธรรม และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบอำนาจรัฐมากขึ้น

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising