‘ผยง’ เปิดผลสำรวจปี 2568 คนไทยพึ่ง ‘หนี้นอกระบบ’ เพิ่ม พร้อมตั้งคำถามถึงโครงสร้าง ‘เศรษฐกิจ-ระบบการเงินไทย’ เนื่องจากไทยยังมีผู้ปล่อยกู้เกือบหมื่นราย ชู ‘Reinvent Thailand’ เป็นทางออกประเทศ ปั้น 6 อุตสาหกรรม New S-Curve
วันนี้ (7 พฤศจิกายน) ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผย ผลการสำรวจหนี้ครัวเรือนไทยในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 : Thailand’s Next Frontier ที่จัดทำโดยความร่วมมือของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และธนาคารกรุงไทย ณ พฤศจิกายน 2568
โดยระบุว่า แม้ส่วน ‘หนี้ในระบบ’ ลดลง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก GDP ที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ตัวปริมาณหนี้ยังสูงอยู่
นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังพบว่า ครัวเรือนยังพึ่งพา ‘หนี้นอกระบบ’ มากขึ้น โดยสัดส่วนหนี้นอกระบบในการสำรวจปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 14% จากระดับ 12% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมดในปี 2567 ซึ่งนับเป็นประเด็นที่ ‘น่ากังวล’ ท่ามกลางภาวะหนี้ครัวเรือนที่แท้จริง ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่สูงเกิน 100% ต่อ GDP

ผยงยังตั้งคำถามว่า ทำไมคนไทยถึงพึ่งพาหนี้นอกระบบมากขึ้น ทั้งๆ ที่ในประเทศไทยมีผู้ให้บริการปล่อยกู้หรือสภาพคล่องราว 9,723 ราย สะท้อนว่า “ไทยไม่ได้เผชิญปัญหาผู้แข่งขันไม่พอเพียง แต่คำถามคือ เกิดอะไรขึ้นกับเชิงโครงสร้างที่ทำให้เกิดความบิดเบือน” ผยงกล่าว
ผยงยังชี้ว่า ปัจจุบัน ข้อมูลหนี้ในระบบยังไม่สมบูรณ์ โดยบางส่วนยังไม่อยู่ในฐานข้อมูลเครดิตบูโร (NCB) โดยจะเห็นว่า มีผู้ประกอบการที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มแบงก์และหรือธนาคารเฉพาะกิจ (SFIs) มีมากกว่า 30% โดย 30% เหล่านั้นไม่ได้มีข้อมูลรวมศูนย์อยู่ในระบบ สะท้อนถึงความเขย่งในเชิงของกติกาการแข่งขันและเชิงโครงสร้าง

นอกจากนี้ ผู้ให้บริการต่างๆ ยังเผชิญกฎเกณฑ์การกำกับดูแลไม่เหมือนกันในระดับขั้นกฎหมาย และความสามารถใช้ข้อมูลในระบบ เช่น หนี้ของผู้ประกอบการที่ไม่ได้ส่งข้อมูลเข้ามาในระบบก็ไม่ปรากฏให้กับผู้ประกอบการที่ส่งข้อมูล
“ปัญหาโครงสร้างเหล่าระบบนี้ไม่ควรที่จะดำรงคงอยู่ต่อไป” ผยงกล่าวย้ำ
ผยงยังตั้งคำถามถึง การลงทุนในประเทศไทยที่ลดลง ทั้งๆ ที่สภาพคล่องในระบบของไทยยังสูง
โดยกล่าวว่า “สภาพคล่องในระบบของไทย รวมถึงตัวปริมาณการซื้อพันธบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อมาบริหารสภาพคล่องระยะสั้นและเงินที่มีการปล่อยกู้ประจำวันผ่าน Repo Market ของธปท.เฉลี่ยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา สูงกว่า 5 ล้านล้านบาท

“สะท้อนว่า ปัญหาของประเทศเราไม่ใช่เรื่องสภาพคล่องในระบบ แต่เงินไทยกลับไหลออกไปอยู่ในกองทุนรวมลงทุนในต่างประเทศ (FIF) และไปลงทุนต่างประเทศ (TDI) ต่อเนื่อง มากกว่า 7 ล้านล้านบาท ขณะที่ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในประเทศไทยกลับต่ำที่สุด ตามหลังภูมิภาค
ท่ามกลางปัญหาหนี้ภาครัฐสูงและภัยทุจริตทางการเงิน บั่นทอนความเชื่อมั่นที่กระทบเศรษฐกิจและสังคมไทย

ย้ำใช้ Reinvent Thailand เป็นทางออก
เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ และหาทางออกให้กับประเทศไทย ผยงย้ำว่า Reinvent Thailand ที่เป็นเวที (Platform) ร่วมสร้างอนาคตประเทศไทยอย่างยั่งยืน โดยมีภาคเอกชนเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน มีภาครัฐ สนับสนุนและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับตัว และมีภาคการเงินที่ช่วยจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนประเทศได้ โดยภายใต้ Reinvent Thailand จะจัดการความท้าทายใหญ่ 3 ด้าน ได้แก่
ความเปราะบางเชิงโครงสร้างที่มีอยู่เดิม
ขาดความสามารถในการแข่งขันในโลกใหม่
ความท้าทายของภาครัฐ
โดยมี 6 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (Six Priority Sectors) เพื่อสร้าง New S-Curve และขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างมีนัยยะ ได้แก่ การท่องเที่ยว, Smart Electronic, Food Processing, อุตสาหกรรมรถยนต์, Retail Trading และ Medical Wellness ซึ่งกลุ่มนี้ครอบคลุมผู้ประกอบการกว่า 2.4 แสนราย (46% ของนิติบุคคล) และการจ้างงานกว่า 10 ล้านคน


