อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของไทยเคยเป็นพลังเงียบที่อยู่เบื้องหลังระบบเศรษฐกิจมานาน แต่วันนี้กำลังเผชิญความท้าทายรอบด้านทั้งความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า การเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ และแรงกดดันทางด้านสิ่งแวดล้อม
บรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SCGJWD Logistics PCL กล่าวบนเวที Navigating The New Reality ขับเคลื่อนโลจิสติกส์ไทย ในโลกที่เปลี่ยนแปลง ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 เมื่อวันที่ 5 พ.ย.2568 ว่า ประเทศไทยไม่เพียงแค่ต้องก้าวข้ามแรงกดดันเหล่านี้ แต่ยังสามารถดึงศักยภาพทางด้านอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่ตัวเองมีอยู่ มาใช้เป็นอีกแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้
ปัจจุบันต้นทุนโลจิสติกส์ของไทย สูงถึง 13.5% ของ GDP ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วอยู่ที่เพียง 7-9% เท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ 80-90% ของการขนส่งสินค้าในไทยยังพึ่งพารถบรรทุกบนถนน แม้จะสะดวกที่สุด แต่ก็มีต้นทุนแพงที่สุดเมื่อเทียบกับการขนส่งทางรางและน้ำ หรือทางอากาศเองไทยก็ไม่ควรมองข้าม
หากไทยสามารถลดต้นทุนโลจิสติกส์ลงได้เพียง 1% จะมีเงินกว่า 200,000 ล้านบาทไหลกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจทันที และเพื่อให้ตัวเลขนี้เกิดขึ้นได้จริง บรรณ เสนอ 4 กลยุทธ์เพื่อพลิกเกมโลจิสติกส์ไทย
1. Seamless Connectivity เชื่อมทุกโหมดขนส่งให้ลื่นไหลเป็นระบบเดียว
หัวใจของ Seamless Connectivity คือการเลิกคิดว่า จะขนส่งด้วยรถ หรือเรือ หรือราง แต่ต้องคิดแบบ Multimodal Logistics คือการใช้หลายโหมดเชื่อมกันตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง เช่น ใช้เรือ ต่อราง ส่งต่อด้วยรถบรรทุกระยะสั้น แทนที่จะใช้รถบรรทุกยาวทั้งเส้น
ในมิติของ การขนส่งทางราง ปัจจุบันไทยมีการใช้งานน้อยกว่า 2% ในการขนส่งสินค้า เราจำเป็นต้องมีการลงทุนเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานอย่าง Lift-on/Lift-off Terminal ซึ่งเป็นสถานีสำหรับการยกตู้คอนเทนเนอร์ขึ้นลงระหว่างรถบรรทุกและรถไฟ เพื่อให้เกิดการขนส่งหลายรูปแบบอย่างแท้จริง
การใช้สถานีบ้านม้า จ.อยุธยา เป็นท่าบก (Inland Terminal) และเชื่อมต่อไปยังท่าเรือที่อำเภอนครหลวง
ในมิติของ การขนส่งทางทะเล ไทยมีศักยภาพที่ยังไม่ได้ใช้อย่างการขนส่งสินค้าถ่ายลำ (Transshipment) ซึ่งหมายถึงการที่สินค้าถูกนำมาพักหรือเปลี่ยนเรือที่ท่าเรือเพื่อไปยังปลายทางอื่น
ไทยยังเน้นเพียงการขนส่งเพียงส่งออกเป็นหลัก ปัจจุบันท่าเรือแหลมฉบังมีตู้สินค้าส่งออกกว่า 10 ล้านตู้ แต่สิงคโปร์มีถึง 40 ล้านตู้ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการถ่ายลำ ขณะที่การถ่ายลำของไทยมีเพียง 1% เท่านั้น สาเหตุหลักมาจากข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ หากปลดล็อกจะสามารถเพิ่มสัดส่วนนี้จาก 1% เป็น 10% จะสร้างรายได้กลับมาถึง 2,000 ล้านบาท
2. Smart Logistics ระบบโลจิสติกส์ที่ คิดเป็น เห็นข้อมูล และตอบสนองได้ทันที
เทคโนโลยีอย่าง AI, IoT, Robotics ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ประเทศสิงคโปร์และจีนเริ่มใช้คลังสินค้าอัตโนมัติ รถบรรทุกไร้คนขับ โดรนและกล่อง CCTV ตรวจสอบสต๊อกสินค้า ทั้งหมดนี้คือ Smart Logistics
แม้ปัจจุบันกรมศุลกากรมีระบบ National Single Window ที่ใช้ในการผ่านพิธีการศุลกากร เพื่อลดเอกสาร ลดเวลาพิธีการนำเข้า-ส่งออก แต่เพื่อสร้าง National Logistics Platform ที่สมบูรณ์ จำเป็นต้องเชื่อมต่อให้ครบทุกภาคส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์
นอกจากนี้ Smart Logistics ไม่ใช่แค่ใช้เทคโนโลยี แต่รวมถึง Smart Workforce ด้วย บุคลากรด้าน Data, Automation, Digital Supply Chain ไทยยังขาดความเชี่ยวชาญ ภาคการศึกษาและเอกชนจึงต้องเร่งผลิตคนให้ทัน
3. Specialized Logistics โลจิสติกส์แบบเจาะลึกตามอุตสาหกรรมเฉพาะ
รัฐบาลพูดถึง New S-Curve หรืออุตสาหกรรมใหม่ที่จะเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่น สุขภาพ ดิจิทัล อาหารแห่งอนาคต ยานยนต์ไฟฟ้า แต่คำถามใหญ่คือ โลจิสติกส์ไทยพร้อมจะรองรับห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเหล่านี้แล้วหรือยัง?
การขนส่งเวชภัณฑ์หรืออาหารสด ต้องใช้ Cold Chain มาตรฐานสูง อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซต้องการ Fulfillment แบบ Real-time
แต่วันนี้ไทยยังใช้มาตรฐานการขนส่งแบบเดียวสำหรับทุกสินค้า ทั้งที่โลกขยับไปสู่ยุคของ High-Value Logistics ที่ไม่ใช่แค่ขนของ แต่คือ การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งระบบ
4. Sustainable Logistics โลจิสติกส์สีเขียวไม่ใช่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือใบเบิกทางใหม่ของโลก
เป้าหมาย Net Zero ปี 2050 ทำให้โลจิสติกส์กลายเป็นจุดกดดันใหญ่ที่สุด เพราะเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนแบบ Scope 3 หรือ การปล่อยจากกิจกรรมตลอดห่วงโซ่อุปทาน ไม่ใช่แค่โรงงานเอง
บริษัทที่จะอยู่รอดในโลกการค้าใหม่ คือบริษัทที่พิสูจน์การปล่อยแบบ Scope 3 ได้ และ ให้บริการโลจิสติกส์แบบ Green ได้
วันนี้ไทยมีรถบรรทุก 2-3 ล้านคัน ถ้ารัฐสั่งให้เปลี่ยนเป็น EV ทั้งหมดในทันที ไม่ใช่แค่ต้นทุนมหาศาล แต่คือการล้มทั้งระบบ ดังนั้นทางออกจึงไม่ใช่เปลี่ยนทันทีแต่ต้องสร้าง Multi Pathway เช่น ใช้ไบโอดีเซลเป็นระยะเปลี่ยนผ่าน,ใช้ EV ในขนส่งระยะสั้น เพราะกรีนไม่ใช่ CSR อีกต่อไป แต่คือ เงื่อนไขการค้า ถ้าไม่กรีนเท่ากับไม่มีสิทธิ์ส่งออกในอนาคต
สุดท้าย คุณบรรณ ฝากเอาไว้ว่า โลกกำลังเปลี่ยน ทุกคนกำลังวิ่งไปข้างหน้า และไม่มีใครรอเรา วันนี้ประเทศไทยอยู่ในจุดที่พร้อมที่สุด และเราต้องเริ่มลงมือทำเลย เพื่อเปลี่ยนศักยภาพที่มีอยู่ให้เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง
THE STANDARD Economic Forum 2025
Rerun Ticket บัตรชมย้อนหลังออนไลน์ เปิดจำหน่ายวันที่ 7 พ.ย.68 คลิก ›
- ดูได้นานถึง 6 เดือนเต็ม! (เปิดให้รับชมตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 – 14 เมษายน 2569)
- รับชมย้อนหลังได้ทั้ง 4 เวที (Main Stage, Young Leaders Dialogue Stage, Tech Stage และ AI Showcase Stage)
- ราคาพิเศษเพียง 990 บาท


