วิกรม ‘อมตะ’ แนะไทยใช้ยุทธศาสตร์เชื่อมจีน-ญี่ปุ่น ปลุกการลงทุนภูมิภาค
ชี้แนวโน้มญี่ปุ่นย้ายฐานลงทุนสู่เวียดนาม แนะไทยเร่งยกระดับขีดความสามารถแข่งขัน
วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA
กล่าวบนเวที THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ที่จัดขึ้นวันนี้ (6 พฤศจิกายน) เป็นวันที่ 2 ในหัวข้อ The Next Chapter : Powering Thailand’s Future with Japanese Investment ขับเคลื่อนอนาคตไทย บทใหม่แห่งการลงทุนญี่ปุ่น ว่า ตลอดเส้นทางการบริหาร “อมตะ” และชีวิตการทำงาน มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับประเทศญี่ปุ่นมายาวนาน ทั้งในเชิงธุรกิจและสายสัมพันธ์ส่วนตัว
โดยบริษัทมีลูกค้าญี่ปุ่นจำนวนมากซึ่งสร้างรายได้ให้กับบริษัทมาโดยตลอด
ปัจจุบันภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ มีโรงงานญี่ปุ่นกว่า 750 แห่ง จากทั้งหมด 1,600 บริษัท หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 70% ของลูกค้าทั้งหมด

โดยจะเห็นว่า ห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมีโรงงานญี่ปุ่นมากกว่า 600 แห่ง ซึ่งญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพและระบบบริการหลังการขายที่ดีเยี่ยม
ทว่าทิศทางการลงทุนของญี่ปุ่นในภูมิภาคอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) กลับเปลี่ยนแปลงไป โดยมีแนวโน้มมุ่งสู่เพื่อนบ้าน สปป.ลาว เมียนมา โดยเฉพาะ ‘เวียดนาม’ มากขึ้นอย่างชัดเจน
“หากมองย้อนกลับไป ปี 1991 เวียดนามยังถือเป็นประเทศที่เริ่มต้นพัฒนา แต่วันนี้กลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าทึ่ง เวียดนามบินได้แล้ว ไม่ใช่แค่วิ่ง นักลงทุนญี่ปุ่นจำนวนมากหันไปลงทุนที่นั่น ทั้งที่เคยอยู่ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ในขณะที่การลงทุนของญี่ปุ่นในไทยค่อยๆ ลดลง”
วิกรม กล่าวอีกว่า “วันนี้ นักลงทุนญี่ปุ่นเหลือเพียงราว 10% ซึ่งไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก เพราะผมรักญี่ปุ่นมาก และอยากให้เมื่อพวกเขามาลงทุนในประเทศไทย ‘อมตะ’ ควรเป็นที่แรกที่พวกเขานึกถึง แต่ตอนนี้ชาวญี่ปุ่นกำลังตกหลุมรักเวียดนาม เพราะเวียดนามทำได้ดีจริงๆ”

ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากภาพรวมเศรษฐกิจที่เติบโต วิกรม ระบุว่า เวียดนามตั้งเป้าให้ GDP ปีหน้าขยายตัวถึง 10% และคาดว่าปีนี้จะเติบโต 8% ซึ่งเป็นอีกเหตุผลที่ดึงดูดนักลงทุนญี่ปุ่นให้หันไปลงทุนเพิ่มขึ้น
พร้อมกันนี้ วิกรมยังถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานร่วมกับชาวญี่ปุ่นว่า คนญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตที่ใจดี ขยัน ทำงานอย่างพิถีพิถัน มีมาตรฐานสูง เคารพกฎระเบียบ และตรงต่อเวลาอย่างเคร่งครัด
“เมื่อคุณให้คำมั่นสัญญากับชาวญี่ปุ่น คุณต้องทำให้ได้ตามนั้น และควรมาก่อนเวลานัดหมาย เพราะหากคุณมาช้า พวกเขาจะไม่รอ และอาจโทรตามคุณแม้ในยามค่ำคืน”
วิกรม มองว่า โมเดลการลงทุนแบบเก่าระหว่างไทย-ญี่ปุ่นนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป ถึงเวลาที่ต้องยกระดับความสัมพันธ์เพื่อรับมือกับการแข่งขันและเทคโนโลยีใหม่ โดยอาจใช้โอกาสจากยุทธศาสตร์ One Belt One Road “เส้นทางสายไหม” ซึ่งเส้นทางสายนี้จะสามารถเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆ ได้อย่างกว้างขวางแบบที่เรียกได้ว่าเส้นทางสายนี้สามารถเชื่อมโลกเข้าหากันได้

โดยหวังว่า ในอนาคต ญี่ปุ่นและจีนจะสามารถกลับมาร่วมมือกันได้อีกครั้ง เพราะทั้งสองประเทศต่างเป็นมิตรที่ดีของไทย ซึ่งมีประวัติความสัมพันธ์อันยาวนาน ไทยกับจีนกว่า 900 ปี และไทยกับญี่ปุ่นกว่า 600 ปี โดยไม่เคยมีความขัดแย้งรุนแรงต่อกัน แม้ในช่วงสงครามโลก ไทยก็ยังคงเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่สามารถร่วมมือกับญี่ปุ่นได้อย่างราบรื่น
วิกรม ทิ้งท้ายว่า “สิ่งที่ผมอยากฝากในวันนี้ คือ เรากำลังเห็นการลงทุนจากจีนที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การลงทุนจากญี่ปุ่นค่อยๆ ลดลง ไทยควรใช้จุดแข็งทางยุทธศาสตร์เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมและส่งเสริมให้ญี่ปุ่นและจีนร่วมมือกันในฐานะมิตรที่ดี เพื่อเสริมพลังให้ภูมิภาคเติบโตไปด้วยกัน”
ท้ายที่สุด “ความฝันของผมคือ การทำให้จีนและญี่ปุ่นมาทำงานร่วมกันในบ้านของเรา เพื่อประโยชน์ของประเทศกลุ่มภูมิภาคลุ่มนํ้าโขง” วิกรม กล่าว
ในโอกาสที่บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) เฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีแห่งความสำเร็จ วิกรมกล่าวทิ้งท้ายว่า อมตะจะยังคงเดินหน้าพัฒนา “เมืองอุตสาหกรรมสมบูรณ์แบบ (Perfect City)” ภายใต้แนวคิด “Eternal Dream” มุ่งขยายศักยภาพโครงสร้างพื้นฐาน สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน


