*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง The Wind Rises*
เข้าสู่สัปดาห์ที่สองแล้วสำหรับโปรเจกต์ฉลองครบรอบ 16 ปี โรงภาพยนตร์ House Samyan ที่เตรียมภาพยนตร์ญี่ปุ่น 16 เรื่อง ที่ใครหลายคนต่างหลงรักและอยู่ในความทรงจำ กลับมาเข้าฉายอีกครั้ง
โดยหนึ่งในลิสต์ภาพยนตร์ที่เข้าฉายในวันที่ 16-22 กรกฎาคม คือภาพยนตร์แอนิเมชันจากสตูดิโอจิบลิอย่าง The Wind Rises (2013) อีกหนึ่งผลงานอันยอดเยี่ยมของผู้กำกับ มิยาซากิ ฮายาโอะ ที่สะท้อนมุมมองและประสบการณ์ของเขาที่เติบโตมาในยุคสมัยของสงครามอันโหดร้าย ไปพร้อมๆ กับการพาผู้ชมอย่างเราออกเดินทางสู่ความฝัน
The Wind Rises (2013) ได้นำอัตชีวประวัติของ โฮริโคชิ จิโร่ วิศวกรชาวญี่ปุ่นที่เป็นผู้ออกแบบเครื่องบินรบซีโร่ให้กับกองทัพในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มาดัดแปลงเป็นแอนิเมชัน และพาเราติดตามการเดินทางของ จิโร่ ตั้งแต่วัยเด็กที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักบิน แต่เนื่องจากปัญหาทางสายตา จึงทำให้ความฝันนี้กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่แล้วคืนหนึ่งจิโร่ฝันว่าตัวเองได้พบกับ เคานต์ คาร์โปนี วิศวกรเครื่องบินชาวอิตาลี ที่ขับเครื่องบินไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่เขามีความใฝ่ฝันที่จะสร้างเครื่องบินลำโตให้สำเร็จ ทำให้จิโร่ตัดสินใจเบนความฝันของตัวเอง และมุ่งหน้าสู่การเป็นวิศวกรเพื่อสร้างเครื่องบินที่งดงามที่สุดขึ้นมาให้ได้
“เพราะลมแรงกล้า เราจึงอยู่ท้าแรงลม”
ประโยคหนึ่งของ พอล วาเลรี นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส คือหัวใจหลักที่คอยขับเคลื่อนให้จิโร่ เด็กหนุ่มบ้านนอกคอกนาผู้มีจิตใจอ่อนโยน เริ่มออกเดินทางเพื่อไขว่คว้าความฝันตั้งแต่วัยเยาว์
จิโร่ตัดสินใจจากลาบ้านเกิดเพื่อเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยในกรุงโตเกียว แต่ดูเหมือนว่าเส้นทางแห่งความฝันสายนี้จะไม่ได้ราบรื่นนัก เมื่อกรุงโตเกียวและมหาวิทยาลัยของเขาถูกเพลิงไหม้เนื่องจากเหตุแผ่นดินไหว
แต่จิโร่ก็ยังคงขยันอ่านหนังสือเพื่อเติมเต็มความรู้อย่างสม่ำเสมอ จนทำให้เขาได้เป็นหนึ่งในทีมออกแบบเครื่องบินรบรุ่นใหม่ของบริษัทมิตซูบิชิ แน่นอนว่าเขาประสบความล้มเหลวและถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากคนเยอรมันอยู่บ่อยครั้ง
แต่ทุกครั้งที่จิโร่รู้สึกท้อแท้ เขามักจะได้กลับมาพบ เคานต์ คาร์โปนี ในความฝัน เพื่อเตือนสติไม่ให้จิโร่หลงลืมเป้าหมายของตัวเองไป ซึ่งในช่วงสุดท้ายของการสนทนา คาร์โปนีก็มักจะย้ำเตือนจิโร่อยู่เสมอว่า
“เพราะลมแรงกล้า เราจึงอยู่ท้าแรงลม”
เป็นประโยคสั้นๆ ที่ผลักดันให้จิโร่พยุงตัวเองลุกขึ้นมาท้าทุกอุปสรรค เพื่อสร้างเครื่องบินที่สวยงาม สมบูรณ์ แข็งแรง ทนทาน สามารถโบยบินไปบนท้องนภา แม้จะต้องเผชิญกับลมพายุที่รุนแรงแค่ไหนก็ตาม
“ผมคงทำไม่ได้ ถ้าไม่มีคุณ”
นอกจากเป็นสิ่งที่ผลักดันให้จิโร่ออกโบยบินไปสู่ความฝันแล้ว ‘สายลม’ ยังพัดพาความรักเข้ามาช่วยเติมเต็มจิตใจให้จิโร่
ระหว่างที่จิโร่ในวัยหนุ่มเริ่มออกเดินทางไปยังโตเกียวด้วยรถไฟขบวนหนึ่ง สายลมได้พัดหมวกใบเก่งของเขาปลิวไปอยู่ในมือของ นาโฮโกะ เด็กสาวผมสีฟ้า โดยบังเอิญ ก่อนที่เหตุแผ่นดินไหวจะทำให้จิโร่เข้าไปช่วยเหลือคนรับใช้และออกตามหาครอบครัวให้เธอ ก่อนที่จิโร่จะเดินจากไปโดยไม่ได้แนะนำตัว
วันเวลาผ่านไปกว่าสิบปี จิโร่ที่เพิ่งล้มเหลวจากโครงการที่เขารับหน้าที่เป็นผู้ดูแล ได้ออกเดินทางไปยังโรงแรมแห่งหนึ่งเพื่อหยุดพักจากความเหนื่อยล้า และเป็นอีกครั้งที่สายลมได้พัดพาให้เขาได้มาพบกับนาโฮโกะ หญิงงามผมสีฟ้า อีกครั้ง
การพบเจอในครั้งนี้เปรียบเสมือนยาวิเศษจากนาโฮโกะ ที่ช่วยรักษาจิตใจอันบอบช้ำจากความล้มเหลวให้กับจิโร่ และปลุกให้เขากลับมาต่อสู้เพื่อสร้างเครื่องบินในฝันให้เป็นจริงอีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน นาโฮโกะก็ต้องเผชิญกับวัณโรคที่คอยกัดกินชีวิตของเธออย่างช้าๆ แต่เธอก็ยังคงอดทนและคอยอยู่เคียงข้างจิโร่เสมอ จนเขาสามารถออกแบบเครื่องบินรบรุ่นล่าสุดได้สำเร็จ
“ฉันเชื่อว่ามันจะโบยบินอย่างสวยงาม”
เรื่องราวของเขาและเธอจึงเป็นการขับเน้นให้เราได้เห็นว่า แม้จะต้องเผชิญกับพายุที่กำลังโหมกระหน่ำ แต่ความรักและความเอาใจใส่ถือเป็น ‘เชื้อเพลิง’ สำคัญที่ผลักให้ทุกความฝันสามารถเป็นจริงได้
“ผมคงทำไม่ได้ ถ้าไม่มีคุณ”
“ความฝันของมนุษย์ก็คือการบิน แต่เป็นความฝันที่ต้องคำสาป เครื่องบินถูกกำหนดให้เป็นเครื่องมือเพื่อประหัตประหารทำลายกัน”
การฉายภาพความโหดร้ายของสงคราม คือหนึ่งในประเด็นที่ มิยาซากิ ฮายาโอะ พยายามสอดแทรกลงไปในทุกผลงานอยู่เสมอ เช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ผู้กำกับได้บอกเล่าผ่านมุมมองของจิโร่และคาร์โปนี ผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างเครื่องบินรบทุกลำ
คาร์โปนีใฝ่ฝันที่จะสร้างเรื่องบินลำใหญ่ที่สามารถพาผู้คนออกท่องเที่ยวไปทั่วโลก ในขณะที่จิโร่มีความใฝ่ฝันอยากจะสร้างเครื่องบินที่งดงามที่สุดขึ้นมาให้ได้
หากแต่โลกอันโหดร้ายกลับนำความฝันของพวกเขามาเป็นเหยื่อล่อเพื่อให้ได้มาซึ่งอาวุธสงครามที่ล้ำสมัย โดยในทุกบริบทของเรื่องเราจะสามารถสังเกตได้ว่า จิโร่มุ่งมั่นที่จะสร้างเครื่องบินให้ออกมาสมบูรณ์ที่สุด โดยไม่ได้มีความคิดว่าเครื่องบินของเขาจะกลายเป็นอาวุธสงครามแม้แต่น้อย
แต่ในท้ายที่สุด เครื่องบินอันงดงามที่เขาวาดฝันไว้ตั้งแต่วัยเด็กก็กลายไปเป็น ‘ซีโร่’ เครื่องบินรบทรงประสิทธิภาพที่กองทัพญี่ปุ่นนำไปใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2
“ความฝันของมนุษย์ก็คือการบิน แต่เป็นความฝันที่ต้องคำสาป เครื่องบินถูกกำหนดให้เป็นเครื่องมือเพื่อประหัตประหารทำลายกัน”
แม้ว่า The Wind Rises จะไม่ได้ฉายภาพความโหดร้ายของสงครามออกมาอย่างชัดเจนนัก แต่หนึ่งประเด็นสำคัญที่ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นอย่างซื่อตรงคือ ความฝันของมนุษย์ที่อยากจะโบยบินไม่ได้เป็นจุดกำเนิดของอาวุธสงครามอย่าง เครื่องบินรบ หากแต่เป็นความโหดเหี้ยมและกระหายชัยชนะในจิตใจของมนุษย์ต่างหากที่ทำให้ความฝันของจิโร่และคาร์โปนีต้องแปดเปื้อนไปด้วยกลิ่นคาวเลือดของผู้คน
ซึ่ง มิยาซากิ ฮายาโอะ คงอยากจะฝากข้อความไปถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความฝันอันล้นเหลือผ่านภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องนี้ว่า
ขออย่าให้ความฝันของทุกคนต้องกลายเป็นเครื่องมือที่ประหัตประหารชีวิตกันและกัน เฉกเช่นเรื่องราวของจิโร่และคาร์โปนีอีกเลย
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: