จบลงไปแล้วสำหรับโชว์สุดยิ่งใหญ่แห่งปีและสำคัญที่สุดของวงการดนตรีอย่าง Super Bowl Halftime Show ที่ The Weeknd ได้แสดงไป ณ สนามกีฬาเรย์มอนด์ เจมส์ สเตเดียม ที่เมืองแทมปา รัฐฟลอริดา ซึ่งก็ตอกย้ำความสำคัญและการเป็นหนึ่งในศิลปินแห่งยุคของผู้ชายวัย 30 ปีคนนี้จากประเทศแคนาดา
สำหรับโชว์ในครั้งนี้ The Weeknd เป็นศิลปินชายเดี่ยวผิวดำคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ต่อจาก Prince (2007) และ Michael Jackson (1993) ที่ได้รับเลือกให้เป็นศิลปินหลักของโชว์พักครึ่งที่งาน Super Bowl ซึ่งตลอดกว่า 14 นาทีของการแสดงในครั้งนี้ The Weeknd ก็ได้แสดงเมดเลย์เพลงสุดฮิตของเขาที่เชื่อว่าหลายคนร้องตามกันได้ เริ่มจาก Starboy ต่อด้วย The Hills, Can’t Feel My Face, I Feel It Coming, Save Your Tears และ Earned it ที่ทั้งหมดบนเวทีสร้างพิเศษบนสแตนด์ด้านบนสนามกีฬาที่มีกลุ่มประสานเสียงและวงออร์เคสตราเล่นอยู่ด้วย ก่อนที่เขาจะปิดท้ายด้วย Blinding Lights บนตัวสนาม พร้อมแดนเซอร์นับร้อยชีวิตในชุดคอสตูมสูทสีแดง และพันหน้าตามคอนเซปต์อัลบั้ม After Hours
แม้ในปีนี้งาน Super Bowl จะต้องจำกัดผู้ชมที่มาชมสดที่สนามเหลือแค่ราว 22,000 คน (ซึ่ง 7,500 คนในนั้นก็คือบุคลากรทางการแพทย์ที่ถูกเชิญมาให้ดูฟรีและฉีดวัคซีนมาแล้ว) แต่ The Weeknd ก็ได้ลงทุนเงินของตัวเองกว่า 7 ล้านดอลลาร์ หรือราว 200 ล้านบาท เพื่อโชว์ในครั้ง ซึ่งก็ได้ Hamish Hamilton มากำกับโชว์เหมือนเดิม หลังเคยอยู่เบื้องหลังการแสดงระดับตำนานของ Lady Gaga, Beyonce, Katy Perry และ Madonna ที่งานนี้มาแล้ว แถมมี Jesse Collins มาร่วมเป็น Executive Producer ด้วย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีโปรดิวเซอร์ผิวดำมาเป็นส่วนหนึ่งของโชว์พักครึ่ง
ต่อจากโชว์ Super Bowl Halftime Show แล้ว The Weeknd ก็เตรียมเดินทางทั่วโลกเพื่อแสดงคอนเสิร์ต The After Hours Tour กว่า 100 รอบ ในปี 2022 หลังเลื่อนมาแล้ว 2 รอบ เพราะวิกฤตโควิด-19 แต่ก็ยังน่าเสียดายมากๆ ที่เขาไม่ได้เข้าชิงและจะเป็นส่วนหนึ่งของงาน Grammy Awards กลางเดือนมีนาคมนี้ เพราะแค่โชว์ในวันนี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่า เขาคือหนึ่งในศิลปินที่เก่งกาจและเปี่ยมไปด้วยคุณภาพมากที่สุดคนหนึ่งของศักราชนี้
สามารถชมการแสดง Super Bowl Halftime Show ของ The Weeknd ได้ที่นี่:
ภาพ: Getty Images