หากพูดถึงชื่อของ Park Chan Wook เชื่อว่าผลงานของเขาน่าจะผ่านตาหลายคนมาบ้าง เช่น ภาพยนตร์ไตรภาคล้างแค้นซึ่งประกอบไปด้วย Sympathy for Mr. Vengeance (2002), Oldboy (2003), Lady Vengeance (2005) หรือจะเป็น Joint Security Area (2000), Thirst (2009), Stoker (2013), The Handmaiden (2016) และ Decision to Leave (2022) ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในระดับอินเตอร์
แต่นอกจากฝีไม้ลายมือในการทำหนังแล้วผู้กำกับชาวเกาหลีใต้วัย 60 ปีคนนี้ยังเข้ามามีส่วนสำคัญในการทำซีรีส์ร่วมกับทางฝั่งตะวันตกด้วย ซึ่งผลงานเรื่องล่าสุดที่เขากับ Don McKellar ได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาก็คือ The Sympathizer ซึ่งเป็นซีรีส์ความยาว 7 ตอนที่หยิบยกเอาโครงเรื่องมาจากนิยายชื่อเดียวกันที่ได้รับรางวัล Pulitzer Prize ในปี 2015 ของ Viet Thanh Nguyen ว่าด้วยการตามติดชีวิตของสายลับคอมมิวนิสต์ลูกครึ่งเวียดนาม-ฝรั่งเศสจากเวียดนามเหนือที่ถูกเรียกว่า ‘The Captain’ ซึ่งหลังจากการล่มสลายของเมืองไซ่ง่อน (เมืองโฮจิมินห์ในปัจจุบัน) ในปี 1975 เขาก็ได้ทำงานเป็นสายลับให้กับทางเวียดกงและ CIA ในเวลาเดียวกัน
THE STANDARD POP ได้รับโอกาสสุดพิเศษจากทาง HBO และ HBO GO ในการเข้าร่วมสัมภาษณ์กลุ่มกับผู้กำกับ Park Chan Wook พร้อมกับเยี่ยมชมสถานที่ถ่ายทำขณะที่เขาและทีมงานได้เข้ามาถ่ายทำซีรีส์เรื่อง The Sympathizer ในกรุงเทพฯ เมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมปีที่ผ่านมา โดยหัวข้อที่สนทนานั้นนอกจากจะว่าด้วยเรื่องของการทำงานแล้ว เขายังเล่าถึงประสบการณ์ในอดีตของตัวเอง รวมไปถึงประสบการณ์ที่เพิ่งจะได้เรียนรู้อีกด้วย
อะไรคือสิ่งที่โน้มน้าวคุณให้ทำเนื้อหาที่มีลักษณะเฉพาะแบบนี้? มันเกี่ยวกับสิ่งที่หนังสือบอกเล่าหรือเปล่าที่โน้มน้าวให้คุณตัดสินใจที่จะสร้างมันออกมาเป็นซีรีส์?
อันที่จริง นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมจะได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับซีรีส์เรื่อง The Sympathizer ก่อนอื่นผมอยากจะบอกว่าผมมีความสุขและดีใจที่ได้นั่งสัมภาษณ์กับพวกคุณทุกคน และเหตุที่ว่าทำไมผมถึงตัดสินใจเข้าร่วมโปรเจกต์นี้ก็เป็นเพราะเกาหลีเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามเวียดนามในครั้งนั้น
พ่อของผมเคยเป็นทหารในสงครามเวียดนาม เขาไม่ได้อยู่ในการต่อสู้หรอก แต่ผมจำภาพถ่ายที่เขาถ่ายเอาไว้ตอนที่ไปเยี่ยมเยียนค่ายทหารเกาหลีในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่นั่นได้ เกาหลีและเวียดนามมีสิ่งที่ใกล้เคียงกันมากมายในหน้าประวัติศาสตร์สมัยใหม่ หนึ่งในนั้นคือ การที่เราเคยอยู่ภายใต้การควบคุมของกำลังต่างชาติ หลังจากนั้นประเทศของเราก็ถูกแบ่งออกเป็นฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ และนั่นก็นำมาสู่สงครามกลางเมืองเพราะความขัดแย้งทางอุดมการณ์อย่างสุดขั้วระหว่างทั้งสองฝ่าย
สำหรับคนที่เข้าใจในประวัติศาสตร์ที่มีรากลึกนี้มันไม่รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่นเลย เพราะผมรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ผมสามารถเข้าใจได้ ผมรู้ว่าผมสามารถจัดการเนื้อหาเหล่านี้ได้ดี และนิยายต้นฉบับเองก็มีองค์ประกอบของ Spy Thriller อยู่ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ดึงดูดผมก็คืออารมณ์ขันที่เต็มไปด้วยความไร้สาระของมัน ดังนั้นในขณะที่ผมกำลังเขียนเรียบเรียงเรื่องราวขึ้นมาใหม่ ผมจึงพยายามยกระดับองค์ประกอบเหล่านั้นไปด้วย และทุกคนที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ก็บอกผมว่า “ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเรื่องราวของมันจะสนุกขนาดนี้!”
แล้วคุณเคยอ่านนิยายเรื่องนี้มาก่อนที่คุณจะได้รับข้อเสนอให้มาดัดแปลงเป็นซีรีส์ไหม?
ก็ไม่เชิงครับ นิยายต้นฉบับแปลเป็นภาษาเกาหลี แต่ผมก็ไม่เคยมีโอกาสได้อ่านเลย ผมได้อ่านก็หลังจากที่โปรดิวเซอร์เสนอโปรเจกต์นี้ให้แก่ผมแล้ว
ใน The Sympathizer คุณทำงานกับนักแสดงที่มีความหลากหลายมาก อะไรคือความแตกต่างระหว่างนักแสดงตะวันตกกับเอเชีย? แล้วคุณเตรียมตัวอย่างไรบ้างในการทำงานร่วมกับพวกเขา?
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ทำงานกับนักแสดงที่พูดภาษาอังกฤษ ผมเคยร่วมงานกับพวกเขามาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง Stoker (นำแสดงโดย Nicole Kidman และ Matthew Goode) และซีรีส์สัญชาติอังกฤษ 6 ตอนเรื่อง The Little Drummer Girl (นำแสดงโดย Florence Pugh และ Alexander Skarsgård) ดังนั้นผมก็เลยมีประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับนักแสดงมากความสามารถที่พูดภาษาอังกฤษมาก่อน
ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนอเมริกัน อังกฤษ เกาหลี หรือเวียดนาม ผมคิดว่านักแสดงโดยทั่วไปแล้วมีลักษณะที่เหมือนกัน ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายถึงแค่นักแสดงที่มีความสามารถ แต่หมายถึงคนที่ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์รวมไปถึงในไทยด้วย เราอาจพูดภาษาที่ต่างกัน แต่เรามักจะแบ่งปันความรู้สึกที่เหมือนกัน
ในการสื่อสารหรือสนทนากับ Robert Downey Jr. แน่นอนว่าจะต้องมีล่ามที่ผมต้องคอยพูดผ่าน แต่ก็ใช่ว่าผมจะต้องอธิบายทุกอย่างเป็นประโยคยาวๆ เสมอ ผมสามารถสื่อสารกับเขาผ่านทางสายตาหรือสีหน้าได้ และเขาก็จะเข้าใจว่าเจตนาของผมคืออะไร ในทางกลับกันมันก็ไม่ยากเลยที่จะเข้าใจว่าเขาจะพยายามสื่อสารอะไรกับผม
อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณตัดสินใจเปลี่ยนหนังสือเล่มนี้ให้กลายเป็นซีรีส์ 7 ตอนโดยที่ไม่ทำเป็นภาพยนตร์? การเล่าเรื่องแบบยาว (Long-Form) มีประโยชน์มากกว่าสำหรับซีรีส์เรื่องนี้อย่างไร?
ผมคิดว่าสิ่งนี้ใช้ได้กับผู้กำกับทุกคน ผมไม่คิดว่าผู้กำกับคนไหนจะพูดว่า “ครั้งหน้าผมจะกำกับซีรีส์ ครั้งหน้าผมจะถ่ายทำภาพยนตร์ยาว” ผมคิดว่านั่นไม่ใช่ทัศนคติที่เรามี
ในกรณีนี้ ผมสนใจนิยายเรื่อง The Sympathizer และชอบไอเดียในการเล่าเรื่องด้วยภาพ ผมเลยคิดว่า “รูปแบบไหนที่จะเหมาะสมกับเรื่องนี้มากที่สุด?” หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ผมก็สรุปได้ว่า 2 ชั่วโมงคงจะสั้นเกินไปที่จะยกระดับเรื่องราวและตัวละครต่างๆ ตัวอย่างเช่น Robert เล่นเป็นตัวละครที่แตกต่างกันในเรื่องราวนี้ และถ้าเราทำออกมา 2 ชั่วโมง ผมรู้สึกว่าเราไม่มีเวลามากพอที่จะแนะนำตัวละครทั้ง 4 ตัว ผมไม่อยากเลือกเส้นทางนั้นเลยตัดสินใจทำออกมาเป็นซีรีส์
The Sympathizer เป็นส่วนหนึ่งของ HBO และ A24 คุณเคยทำงานร่วมกับสตูดิโอแบบนี้มาก่อนไหม และคุณมีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้?
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ภาพยนตร์ที่ผมชื่นชอบส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นโดยพวกเขา และในส่วนของ HBO พวกเขาได้สร้างรายการที่มีคุณภาพมากมาย ดังนั้นในการทำงานร่วมกับเครือข่าย (HBO) และสตูดิโอจึงทำให้ผมเข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงสามารถสร้างรายการและภาพยนตร์ที่มีคุณภาพได้ มันเป็นประสบการณ์ที่ผมได้เรียนรู้เหมือนกันนะ
สำหรับผมทุกครั้งที่ทำงาน ผมไม่ใช่คนประเภทที่ชอบเวลามีคนมาพูดว่า “คุณสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ” สิ่งที่ผมอยากจะได้ยินคือ ความคิดเห็นที่ฉลาด ข้อคิดเห็นที่ฉลาด และนั่นคือสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ การทำงานร่วมกับสตูดิโอและเครือข่ายเลยเป็นกระบวนการที่เป็นธรรมชาติมาก และสิ่งที่ผมควรจะกล่าวถึงก็ไม่ได้มีแค่ A24 เพียงอย่างเดียว เรายังมีทีมของ Downey และ Rhombus Studio ซึ่งเป็นผู้ร่วมผลิตรายการและได้มอบประสบการณ์ด้านการสนับสนุนและความช่วยเหลือให้แก่ผมด้วย
สไตล์การกำกับและวิสัยทัศน์ของคุณเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาไปมากน้อยเพียงใดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และคุณนำสิ่งนั้นมาปรับใช้กับงานที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้อย่างไร?
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดที่ผมอยากจะพูดถึงในกำกับรายการทีวีและภาพยนตร์ยาวคือ เราไม่ได้รับอนุญาตให้มีจำนวนวันถ่ายทำมากเท่ากับภาพยนตร์ เพราะเราต้องคอยปรับเปลี่ยนบทอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนการผลิต (รวมไปถึงตอนที่กำลังถ่ายทำอยู่) ไม่เหมือนกับภาพยนตร์ที่เรามีบทที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว และจากนั้นเราก็จะมีเวลาเป็นเดือนในการเตรียมตัว มีเวลาเป็นเดือนที่จะวางแผนและทำให้กระบวนการนั้นเสร็จสิ้น
ผมคิดว่าในการกำกับรายการทีวี สิ่งสำคัญคือความสามารถในการปรับตัวให้เร็วเพื่อเข้ากับกระบวนการ ถ้าเปรียบเหมือนกับภาพวาด ภาพยนตร์ยาวก็เป็นเหมือนกับภาพวาดสีน้ำมัน ในขณะที่รายการทีวีเป็นเหมือนกับภาพวาดสีน้ำ เพราะมันมีอิสระที่มากกว่า แต่ในเวลาเดียวกันคุณก็ต้องมีความคล่องตัวและปรับตัวได้ด้วย
ในแง่ของการถ่ายภาพ ภาพยนตร์ยาวก็เป็นเหมือนกับการที่คุณมีกล้องตัวใหญ่แล้ววางมันเอาไว้บนขาตั้งกล้องจากนั้นคุณก็ถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ไป ในขณะที่รายการทีวีให้ความสำคัญกับสัตว์ เด็ก หรือเด็กทารกมากกว่า ซึ่งคุณจะต้องถ่ายมันออกมาอย่างเป็นธรรมชาติและรวดเร็วเพื่อที่จะจับภาพชีวิตของพวกเขาเอาไว้
สามารถรับชมซีรีส์เรื่อง The Sympathizer ได้แล้ววันนี้ทาง HBO GO
รับชมตัวอย่างได้ที่:
ภาพ: HBO GO / Getty Images