วันนี้ (15 พฤษภาคม) ที่สยามพารากอน THE STANDARD จัดงาน THE CANDIDATE BATTLE พลิกโฉมดีเบต ศึกดวลความคิด พิชิตโหวต ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป โดยมีแคนดิเดตผู้ว่าฯ กทม. ร่วมประชันวิสัยทัศน์ และตอบคำถามจาก 16 ตัวแทนคน กทม. ซึ่งเป็นเจ้าของปัญหาแบบสดๆ และไฮไลต์สำคัญคือการ BATTLE ตอบคำถามระหว่างผู้สมัคร
สำหรับ ROUND 3: THE BATTLE FOR THE BETTER จับคู่ดวลความคิดกันตัวต่อตัว สู้กันด้วยวิสัยทัศน์และจุดยืน ระหว่าง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 8 และ ศิธา ทิวารี ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 11 ในประเด็นคำถาม ‘ถ้าท่านต้องต่อกรกับกลุ่มนายทุน เจ้าสัว ผู้มีอำนาจในราชการ ทหาร ตำรวจ หรือผู้มีอำนาจอื่นๆ เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของคนกรุงเทพฯ ท่านจะต่อกรและจะทำอย่างไร’
ชัชชาติกล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญของกรุงเทพฯ เพราะที่ผ่านมาการทุจริตคอร์รัปชันมีให้เห็นมากมาย ส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มนายทุนที่ไม่ทำตามกฎหมาย เอาเปรียบประชาชน ส่วนหนึ่งมาจากอำนาจมืด ข้าราชการ แม้แต่ กทม. เอง กลุ่มที่มารีดไถ เช่น กลุ่มเทศกิจ
ทั้งนี้ผู้ว่าฯ กทม. ต้องเข้าใจระบบ ปัญหาของ กทม. อยู่ที่ไหน ถ้าเข้าใจก็จะทำให้ต่อกรได้ง่ายขึ้น เช่น เรื่องการประมูล จุดอ่อน ช่องโหว่ ผู้มีอิทธิพล มาเฟียที่ต้องเอาจริงเอาจังกับการปราบทุจริตคอร์รัปชัน เอาเทคโนโลยีต่างๆ มาหาจุดอ่อน ต้องกำชับพวกนายทุนที่ชอบอาศัยจุดอ่อนกฎหมาย เอากฎหมายและอำนาจที่มีไปใช้ อย่าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการ
รวมทั้งต้องมีตัวชี้วัดที่ชัดเจนว่าแต่ละอย่างจะจัดการอย่างไร แก้ไขไปด้วยกัน ส่วนตัวจะเริ่มจากความเข้าใจ การเอาจริงเอาจัง และคิดว่าถ้า กทม. ไม่ทำให้ชัด ทรัพยากรต่างๆ ก็จะรั่วไหลไปหมด
ชัชชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า สุดท้ายต้องมีโครงสร้างที่มีความเป็นธรรม เอาประชาชนส่วนใหญ่มาเป็นแนวร่วม องค์กรภาคี คอร์รัปชัน ถ้ามีพนักพิงเป็นประชาชน เอาประชาชนเป็นหลัก ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวนายทุนใหญ่
ขณะที่ศิธากล่าวว่า อำนาจตามคำถามนี้ที่ทำให้การเมืองของประเทศไทยอยู่กับปัจจุบันและไม่ไปไหน ส่วนตัวเคยสังกัดพรรคการเมืองใหญ่ มีความมุ่งมั่นที่ทำงานให้พี่น้องประชาชน แต่สุดท้ายจากการเป็นเพื่อน ทำธุรกิจร่วมกัน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการถ้อยทีถ้อยอาศัย ใช้วัฒนธรรมแบบเดิมๆ ทำให้ระบบพัง
ศิธาระบุว่า อย่างแรกต้องยอมรับว่าตัวเลขความเหลื่อมล้ำชัดเจน ว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของคนไทยครองสินทรัพย์ 66.9 เปอร์เซ็นต์ ส่วนนี้ที่ทำให้ความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดในโลก ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองระดับผู้ว่าฯ กทม. หรือระดับชาติ ถ้ายังทำแบบนี้ประเทศไทยไปต่อไม่ได้
ส่วนที่ถามว่าจะต่อกรอย่างไร ตนจะไปคุยกับเจ้าสัว ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองในนามที่ตนเป็นผู้ว่าฯ หรือในนามนักการเมืองที่สังกัดพรรคไทยสร้างไทย ตนจะคุยและบอกว่า เดินแบบเก่าไม่ได้ ต้องดูแลคนรากหญ้าให้ทำธุรกิจของเขาได้ เพราะหากมุ่งแต่จะทำธุรกิจของตน สุดท้ายไม่มีใครอยู่ได้ จึงต้องฟังเสียงของทุกฝ่ายและปรับตัว ตนจะขอทำหน้าที่เป็นคนกลางพูดคุย