The Silent Sea โดยผิวเผินอาจจะถูกจัดให้อยู่ในหมวดซีรีส์ไซไฟทริลเลอร์เรื่องแรกของเกาหลี เป็นความท้าทายของการสร้างสรรค์คอนเทนต์จากประเทศผู้ผลิตที่กำลังถูกจับตามองอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากความสำเร็จของ Squid Game
แต่ถ้าขุดลึกลงไปกว่านั้น ด้วยเอกลักษณ์ของดราม่าเกาหลีที่เก่งในการจับประเด็นทางสังคม ความฉลาดในการขยี้ปมอารมณ์ การสร้างมิติให้ตัวละคร งานสร้างที่ใส่ใจรายละเอียด และการที่ The Silent Sea เป็นออริจินัลซีรีส์ของ Netflix ก็ทำให้โปรเจกต์นี้กลมกล่อมอยู่ตรงกลางระหว่างเอกลักษณ์แบบดราม่าเกาหลี และการดำเนินเรื่องกระชับฉับไว ตื่นเต้นตั้งแต่เปิดเรื่อง ทั้งยังสื่อสารประเด็นใหม่ๆ ได้ในแบบสากล
ด้วยความที่ The Silent Sea จะสนุกมากยิ่งขึ้นถ้าเริ่มดูโดยที่ไม่รู้อะไรมากนัก แต่ละอีพีคนดูจะค่อยๆ รับรู้เบาะแส คลี่คลายปริศนาไปพร้อมๆ กับเหล่าตัวละคร บทความนี้จึงจะไม่เปิดเผยข้อมูลสำคัญ นอกจากเส้นเรื่องที่ว่า โลกอนาคตที่ทรัพยากรทุกอย่างขาดแคลน ทีมปฏิบัติภารกิจชุดหนึ่ง อันเป็นการรวมตัวของหัวกะทิจากทุกสาขาอาชีพ ได้มาร่วมกันปฏิบัติภารกิจลับและสำคัญสุดยอด อันเกี่ยวข้องกับชีวิตของมวลมนุษยชาติ
ทีมปฏิบัติการต้องเดินทางไปสถานีวิจัยอวกาศบัลแฮที่ถูกทิ้งร้างบนดวงจันทร์เมื่อ 5 ปีก่อน เพื่อนำของสำคัญอย่างหนึ่งกลับมาสู่โลก แต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และทำให้ทุกอย่างดำเนินไปท่ามกลางความไม่รู้ การหักหลัง การฆาตกรรม การแย่งชิง การต่อสู้ และอดีตอันมืดมิดที่ไม่เคยถูกเปิดเผย
แบดูนา, กงยู, อีจุน, คิมซอนยอง, อีมูแซง รับบททีมปฏิบัติภารกิจพิเศษ โดยกงยู รับบท กัปตันฮัน ส่วนแบดูนา รับบท ซงจี นักชีวดาราศาสตร์ ซึ่งต้องบอกว่าทีมนักแสดงที่ร่วมในภารกิจนี้ล้วนแต่เป็นมืออาชีพที่แฟนซีรีส์น่าจะจำการปรากฏตัวของพวกเขาได้ดี อย่าง อีจุน ก็เพิ่งมีผลงานซีรีส์ Bulgasal, คิมซอนยอง กับซีรีส์ Crash Landing On You และ อีมูแซง จากซีรีส์ A World of Married Couple
ในส่วนการแสดง เราจะเห็นการถ่ายทอดตัวละครอย่างพิถีพิถัน พร้อมการปูพื้นให้เห็นลักษณะนิสัย รวมถึงความเชื่อในตัวตน โดยเฉพาะกงยูและแบดูนา ที่นักแสดงทั้งคู่ได้ตีความตัวละคร ทั้งยังเตรียมตัวเพื่อให้การแสดงออกมาสมจริงที่สุด
อ่านเพิ่มเติม
การแสดงในซีรีส์เกี่ยวกับอวกาศ ย่อมต้องมีเรื่องของงานวิชวลเอฟเฟกต์ และการถ่ายทำนักแสดงจำเป็นต้องใช้จินตนาการสูงมากกับฉากบลูสกรีน แต่กับ The Silent Sea ทีมสร้างเลือกใช้กำแพง LED เพื่อช่วยให้นักแสดงจินตนาการถึงความกว้างใหญ่ของดวงจันทร์และห้วงอวกาศได้ง่ายขึ้น
สำหรับวงการฮอลลีวูดหรือต่างประเทศอาจมีซีรีส์เกี่ยวกับดวงจันทร์มากมาย แต่กับคอนเทนต์เกาหลี พวกเขาไม่ได้ย่างเท้าลงบนนั้นมาก่อน ทีมสร้างจึงต้องทำการบ้านหนักมากในการศึกษาข้อมูลและรูปภาพขององค์การนาซา (NASA) เพื่อสร้างออกมาเป็นภาพลักษณะพื้นผิวดวงจันทร์ที่สมบูรณ์แบบ
ทีมสร้างใช้สตูดิโอใหญ่ยักษ์รวมกันถึง 5 แห่ง ใช้เวลามากกว่า 3 เดือนในการสร้างออกมาเป็นบริเวณพื้นผิวดวงจันทร์ที่ว่างเปล่า สถานีวิจัยอวกาศบัลแฮที่ถูกทิ้งร้าง และฉากการลงจอดของยานอวกาศฉุกเฉิน
จองอูซอง โปรดิวเซอร์ The Silent Sea บอกว่า ทุกอย่างเป็นความท้าทายใหม่ทั้งหมดในการสร้างซีรีส์ที่เกิดขึ้นบนดวงจันทร์ รวมถึงการควบคุมรายละเอียดให้สมจริง เพราะบนดวงจันทร์ไม่มีลมและอากาศ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะปลิวหรือเสื้อผ้าจะขยับตามแรงลม เหล่านี้เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ทางทีมงานสร้างต้องใส่ใจ
นอกจากนี้ สถานีวิจัยบัลแฮซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุของเกือบทั้งซีรีส์นั้น ได้รับการออกแบบให้ดูเหมือนฐานทัพ โดยอิงรูปแบบจากสถาปัตยกรรมบรูทัลลิสต์ที่เน้นการเผยวัสดุจริง ซึ่งเป็นที่นิยมในช่วงทศวรรษที่ 1950-1980 และเนื่องจากเรื่องราวเกิดขึ้นบนอวกาศและดวงจันทร์เกือบทั้งหมด ทีมงานจึงต้องใช้เวลาเตรียมการก่อนถ่ายทำถึง 2 ปี และเก็บงานหลังการถ่ายทำอีกเกือบ 1 ปีเต็ม กว่าจะออกมาเป็นผลงานเสร็จสมบูรณ์ให้ได้ชมกัน
อ่านต่อ
อะไรคือคีย์เมสเสจของ The Silent Sea
The Silent Sea ดำเนินเรื่องฉับไวตามแบบซีรีส์ที่เรียกความตื่นเต้นได้ตั้งแต่อีพีแรก พร้อมๆ กับการปูพื้นเรื่องราวที่คนดูตามเข้าใจได้ทัน ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอวกาศและโลกอนาคต
นอกเหนือเรื่องภารกิจลึกลับ ยังส่งเมสเสจสำคัญเรื่อง ‘หน้าที่ความรับผิดชอบ’ หรือ ‘ความถูกต้องของหน้าที่นั้นๆ’ ซึ่งเอาเข้าจริงเป็นประเด็นชวนถกเถียงในสังคมทุกวันนี้ ที่เกิดการปะทะระหว่างความเชื่อจนกลายเป็นรอยร้าวในชีวิตผู้คน เพราะไม่ว่าจะเลือกเชื่อในทางใด หากเราหาเหตุผลสนับสนุนมันได้มากพอ ก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ไม่มีถูกมีผิดทั้งนั้น
ส่วนอีกประเด็นที่ซีรีส์เกาหลี รวมถึง The Silent Sea ได้ฉายซ้ำก็คือ ‘ความไม่เท่าเทียม’ ซึ่งเราได้เห็นผ่านคอนเทนต์เกาหลีจำนวนไม่น้อย ทั้ง Parasite, Squid Game, D.P. และอื่นๆ จนทำให้แน่ชัดแล้วว่าประเด็นนี้คือบาดแผลร่วมที่คนทั่วโลกรับรู้และจับต้องได้ เพราะมันเกิดขึ้นไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดบนโลก และแม้จะบินหนีไปดวงจันทร์ ก็อาจเป็นไปได้ว่าความเท่าเทียมไม่เคยมีอยู่จริง
The Silent Sea และคำถามทิ้งท้าย
ถ้าวันหนึ่งโลกใบนี้แทบไม่เหลือทรัพยากรธรรมชาติ น้ำลดลง 40% ในทุกๆ 10 ปี คุณได้รับเลือกให้ไปปฏิบัติภารกิจสำคัญที่สถานีวิจัยบัลแฮบนดวงจันทร์ ภารกิจของพวกคุณคือนำตัวอย่างสำคัญกลับมายังโลก โดยที่ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าตัวอย่างนั้นคืออะไร อันตรายไหม และจะนำแสงสว่างสู่มนุษย์ชีวิตได้จริงหรือ
ในตอนที่เสี่ยงชีวิตเพื่อภารกิจนี้ เราควรทำตามหน้าที่ หรือตั้งข้อสงสัยกับหน้าที่ที่ต้องทำ คงเป็นคำถามปลายเปิดที่ The Silent Sea โยนกลับมาที่คนดูในการช่วยกันขบคิดและหาทางออก เพราะเอาเข้าจริง ในอนาคตอันไกล โลกเราก็อาจเดินทางไปสู่ความขาดแคลนทรัพยากรในแบบนั้น และผู้คนต่างแก่งแย่งเพื่อเอาตัวเองให้รอดก็เป็นไปได้