ไฟ กล้อง แอ็กชัน! การฟื้นฟูครั้งยิ่งใหญ่ของ ‘โรงภาพยนตร์ SF’ ในโลกหลังยุคโควิด

ประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์เป็นสิ่งที่หลายคนพลาดไปท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด อย่างไรก็ตาม ในขณะที่โลกกำลังฟื้นตัวและเข้าสู่ภาวะปกติ ธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศไทยกำลังฟื้นตัวอย่างสดใสเช่นกัน

จากการตอบรับของผู้ชมที่มีต่อภาพยนตร์ที่ออกฉายมากมายในปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าคอหนังชาวไทยต่างกระตือรือร้นที่จะหวนคืนสู่จอเงิน พฤติกรรมของพวกเขาบ่งชี้ถึงความต้องการความบันเทิงคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง ดังที่เคยมีประสบการณ์ในสภาพแวดล้อมที่สมจริงของโรงภาพยนตร์

ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2566 ธุรกิจโรงภาพยนตร์ฟื้นตัวอย่างช้าๆ แต่มั่นคง การฟื้นตัวนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ไทยเท่านั้น อุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั้งในประเทศและฮอลลีวูดต่างประกาศให้ปีนี้เป็นปีทองของวงการภาพยนตร์ โดยมีภาพยนตร์ทุนสร้างจำนวนมากที่เตรียมเข้าฉายอย่างต่อเนื่องในโรงภาพยนตร์ในเครือ SF ทุกเดือนจนถึงต้นปี 2567

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ไล่มาตั้งแต่ Fast & Furious X (เร็ว…แรงทะลุนรก 10), The Little Mermaid (เงือกน้อยผจญภัย), Spider-Man: Across the Spider-Verse (สไปเดอร์-แมน: ผงาดข้ามจักรวาลแมงมุม), Transformers: Rise of the Beasts (ทรานส์ฟอร์เมอร์ส: กำเนิดจักรกลอสูร) และ The Flash (เดอะ แฟลช) เป็นต้น

ด้วยความเข้าใจถึงความจำเป็นในการกระจายความหลากหลาย และเพื่อให้ทันกับกระแสโลก SF ได้ขยายขอบเขตให้กว้างไกลกว่าเนื้อหาภาพยนตร์แบบดั้งเดิม หนึ่งในนั้นคือการให้ความสำคัญในธุรกิจอัลเทอร์เนทีฟ คอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงสดของศิลปินยอดนิยมทั้งจากไทยและต่างประเทศ ไปจนถึงการแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญ ซึ่งทำให้มีรายได้เข้ามา

สุวิทย์ ทองร่มโพธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการตลาด บริษัทเอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SF กล่าวถึงการต่อสู้ในช่วงปีที่มีการระบาดใหญ่ว่า “ธุรกิจโรงภาพยนตร์ก็เหมือนกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่อยู่ในภาวะซบเซา แต่ด้วยเนื้อหาทางเลือกซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี ทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้”

เมื่อมองไปข้างหน้า SF มีแผนการขยายต่อเนื่องในปี 2566 โดยตั้งเป้าที่จะปรับปรุงสาขาโดยใช้งบ 150 ล้านบาทในหลายๆ แห่ง รวมถึงห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว รามอินทรา และเดอะมอลล์บางแค การปรับปรุงเหล่านี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้

แผนการขยายไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น SF ยังตั้งเป้าที่จะเปิดโรงภาพยนตร์ใหม่ 5-7 โรงในปี 2567 ซึ่งจะเพิ่มจอใหม่ประมาณ 40 โรง งบลงทุนเฉลี่ยต่อสาขาประมาณ 15-18 ล้านบาท โดยโรงภาพยนตร์ใหม่เหล่านี้จะสอดคล้องกับการเปิดตัวของศูนย์การค้าต่างๆ ในปีหน้า ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่อื่นๆ

ในแง่เกมการตลาดได้เปิดตัวบัตรสมาชิก SF+ กลุ่มนักเรียน นักศึกษา สมัครแพ็กเกจดูหนังราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 69 บาท ไม่ต้องจ่ายรายเดือน ตลอดจนดึง เต-ตะวัน วิหครัตน์, นนน-กรภัทร์ เกิดพันธุ์, เจมีไนน์-นรวิชญ์ ฐิติเจริญรักษ์ และ โฟร์ท-ณัฐวรรธน์ จิโรชน์ธิกุล ในฐานะ FRIENDS OF SF โดยตั้งเป้าเพิ่มสมาชิก 2 ล้านรายจากปัจจุบัน 1.2 ล้านราย

ทั้งหมดนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายตั๋วได้ประมาณ 13 ล้านใบ ดังนั้น SF จึงคาดการณ์รายได้จะแตะ 4,000 ล้านบาทในปี 2566 และภายในปี 2567 ตั้งเป้าที่จะฟื้นตัวจากผลกระทบของโรคระบาดอย่างเต็มที่ และตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 5,000 ล้านบาท

ขณะนี้ SF กำลังพิจารณาที่จะจดทะเบียนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยวางแผนที่จะยื่นคำร้องขอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อ ก.ล.ต. ในปีหน้า ซึ่งเดิมเป็นแผนที่ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากผลกระทบจากโควิดมานานกว่า 3 ปี