×

The Mousses 13 ปี ที่ออกตามหา ‘วงดนตรี’ ในอุดมคติ และเพิ่งค้นพบออกมาเป็นอัลบั้มล่าสุด Happy Alone

21.08.2020
  • LOADING...

นับตั้งแต่วันที่ แอร์-พงศกร ลิ่มสกุล ชวน จ๊ะ-อธิศ อมรเวช เพื่อนสนิทตั้งแต่ชั้นประถมฯ มาตั้ง The Mousses วงดนตรีที่พวกเขาเชื่อว่าจะสามารถ ‘ดีไซน์’ ทุกอย่างได้ตามที่ต้องการขึ้นมาเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ก่อนที่จะได้ ต๋า-ศุภโชค เตือนจิตต์ และ กั๊ป-ปัจจาพงศ์ ศุภชัยเจริญ มาเป็น 2 สมาชิกรุ่นล่าสุด

 

ถ้ามองข้ามภาพลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่น The Mousses คืออีกหนึ่งวงดนตรีที่ผ่านการเดินทางมาแทบทุกพื้นที่ของวงการดนตรี พวกเขาเคยเป็นศิลปินอินดี้น่าจับตาที่มาพร้อมกับทรงผมฟู เสื้อกล้าม และกางเกงขาเดฟ เคยมั่นใจในตัวเองว่าเจ๋งที่สุด ก่อนที่จะถูกปลุกให้ตื่นจากความฝัน แล้วพุ่งชนกำแพงใหญ่จนเสียหลักเมื่อย้ายมาอยู่ค่ายใหญ่อย่าง genie records ที่มอบบทเรียนสำคัญว่าพวกเขายังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก 

 

เพราะอีโก้สูงเสียดฟ้า ทำให้พวกเขาเคยเป็นวงดนตรีที่ไม่น่ารัก แถมยังทำ ‘สงครามจิตวิทยา’ ระหว่างเพื่อนอยู่เสมอ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คือพวกเขาทุ่มเททุกอย่างให้กับ ‘ดนตรี’ กระทั่งความพยายามเห็นผลในที่สุด พวกเขาค่อยๆ เปิดหัวใจ ลดทิฐิจนมีเพลงอย่าง ‘เจ็บที่ต้องรู้’ ซึ่งกลายเป็นเพลงชาติของคนอกหัก พร้อมกับอัลบั้ม Change ที่เปลี่ยนแปลงพวกเขาไปในทางที่ดีขึ้น 

 

THE STANDARD POP มีโอกาสได้คุยกับพวกเขา ในช่วง Happy Alone อัลบั้มล่าสุดที่พวกเขาบอกว่าต้องใช้เวลานานถึง 13 ปี เพื่อคลี่คลายตัวเอง จนได้ค้นพบวง The Mousses ในอุดมคติแบบที่เคยวาดฝันเอาไว้เมื่อวันแรกที่เริ่มตั้งวง

 

The Mousses เริ่ม ‘เซต’ ผม วาดภาพวงดนตรีที่ดีไซน์ได้ทั้งภาพและเพลง

แอร์: ผมอยากมีวงดนตรีที่เราชอบและดีไซน์ได้ทุกด้านของมันทั้งภาพและเพลง ฟังเพลงแบบเดียวกัน อย่างผมจะชอบพวก The Strokes พวก Kings of Leon มากๆ แล้วรู้สึกมีจ๊ะที่ชอบฟังเพลงพวกนี้ แต่ตอนนั้นจ๊ะอยู่กับอีกวง ผมก็ไปบิลด์ให้เขามาอยู่กับผม 

 

จ๊ะ: ตอนแรกผมลังเลเพราะผมอยู่กับเพื่อนอีกวงที่กำลังเซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ แต่มานั่งสืบสวนวิเคราะห์ตัวเองจากที่ไอ้เบค (ชื่อเล่นสมัยเด็กของแอร์ ที่มาจากเดวิด เบ็คแฮม) สะกิดชวนผมทุกวัน ตอนนั้นเวลาถามไม่เคยจะได้คำตอบอะไรเลยนอกจาก เฮ้ย ออกมาอยู่วงกู (หัวเราะ) ไปซื้อเสื้อผ้าด้วยกัน เจอกางเกงตัวหนึ่งสวย มันจะบอก นี่ไง ใส่ขึ้นเวทีด้วยกัน โดนบิลด์ตลอด

 

พอมาคิดเรื่องสิ่งที่ชอบกับวงเดิมที่ผมอยู่ เป็นแนวอีโม ซึ่งผมฟังทั้งคู่นะ แต่มีความรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินเพราะเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมฯ เราไปเจอทุกคนตอนมหาวิทยาลัย พอมาคิดดูทำไมไม่ทำเพลงกับเพื่อนที่อยู่กันมาตั้งแต่ประถมฯ จะตอบคำถามได้ว่าพวกผมตั้งวงเพราะเป็นเพื่อนกันแต่เด็กครับ สตอรีแบบนี้เงินซื้อไม่ได้ เลยเลือกออกจากวงที่กำลังเซ็นสัญญามาอยู่กับอีกวงที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากกางเกงขาเดฟ (หัวเราะ)

 

 

จักรวาลคู่ขนานบนเส้นทางดนตรีของต๋าและกั๊ป

ต๋า: ผมเป็นคนบ้ากลอง พ่อจับไปเรียนตั้งแต่ 7 ขวบ ชีวิตผมไม่มีอะไรเลยนอกจากเรียนเสร็จกลับบ้านไปซ้อม แล้วก็มีวงดนตรีแนวเมทัลที่พ่อตั้งขึ้นมาให้เล่นกับพี่น้องในบ้าน เดินสายประกวด ถามว่าจริงจังไหม ผมจริงจังนะ แต่เป็นจริงจังกับการตีกลองอย่างเดียว ไม่ได้คิดถึงเรื่องวงมากขนาดนั้น 

 

กั๊ป: ผมเริ่มเข้าเรียนที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นช่วงที่รู้ว่าชอบดนตรี แต่ยังไม่รู้ว่าจะเดินไปอย่างไรบนเส้นทางนี้ ตอนปีหนึ่งเริ่มฟอร์มวงกับเพื่อนที่สาขาเล่นเพลงคัฟเวอร์ตามปกติ จนปีสองได้เจอเพื่อนที่ชอบคล้ายๆ กัน เป็นพวกอินดี้อัลเทอร์เนทีฟ คุยกันรู้เรื่องก็รวมตัวกันทำเพลง หาคอนเสิร์ตเล่น แล้วตอนนั้นพี่เช่ (อัคราวิชญ์ พิริโยดม) The Richman Toy เป็นอาจารย์ เขาบอกว่าให้ลองไปออดิชันตอนค่าย Smallroom หาสมาชิกวง Jida แล้วก็ได้กลายเป็นศิลปิน

 

Compilation ‘โอกาส’ ที่มาพร้อม ‘อีโก้’ 

จ๊ะ: พอตัดสินใจออกจากวงเก่า ผมจะไปนอนกับเบคที่หอเบคซึ่งเล็กมากเพื่อทำเพลงทันที เบคทำเพลงมาผมฟังแล้วก็วิจารณ์กันไปมา แล้วก็มีเพลงแรกเกิดขึ้นมาคือเพลงโอกาส 

 

แอร์: พอเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ผมมีอีกหลายเพลงที่เขียนเก็บไว้แล้วเอามาทำวงจริงๆ จ๊ะเลยไปชวนเพื่อนที่เคยเป็นนักร้องตอนประกวดดนตรีด้วยกันคือบาส (กษิภัท ยิ่งเจริญ) แต่พอเข้ามาบาสไม่อยากร้อง แต่ไม่เป็นไรเพราะบุคลิกภาพบาสเยี่ยม ผ่าน (หัวเราะ) เลยให้บาสไปเล่นเบส 

 

 

มิวสิกวิดีโอเพลงโอกาส

 

จ๊ะ: ช่วงนั้นไทม์ไลน์ดีดเพราะจะได้ไปออดิชันกับค่าย RS ตอนนั้นเขาน่าจะเห็นพวกเราจาก Hi5 ตอนนั้นสมาชิกวงยังไม่ครบ เพลงยังไม่อัด แต่ถ่ายรูปไว้ก่อน (หัวเราะ) แล้วพอต้องออดิชันก็เลยไปชวนแม็ก (อาสนัย อาตม์สกุล) เพื่อนที่คณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่อยู่ภูมิจิตให้มาตีกลองให้ 

 

แอร์: แล้วก็ไปซ้อมวงกันครั้งแรกที่ห้องซ้อมบ้านของเบียร์ ซึ่งคือคนในวงที่ผมเพิ่งไปดึงจ๊ะมาอยู่ด้วย เขาคงคิดในใจว่ามึงยังกล้ามาซ้อมบ้านกูอีกเหรอ (หัวเราะ) พอซ้อมเสร็จ ตื่นเช้ามาก็ไปออดิชัน แล้วไม่ผ่าน

 

จ๊ะ: แต่ด้วยความเป็นวัยรุ่น ไฟเยอะ ไม่ค่อยแคร์ความคิดคนอื่น กูเท่เว้ย ถ้าใครไม่เอาเราแสดงว่าอ่อน ตาไม่ถึง ไม่เข้าใจว่ากูเจ๋ง ทิฐิสูงมาก ไม่ได้แล้วไงวะ พวกเราเจ๋งเว้ย มีโอกาสอีกตั้งเยอะ นั่นคือตัวผมเมื่อ 13 ปีก่อนนะ ซึ่งเดี๋ยวมันจะค่อยๆ คลี่คลายไปในตอนหลัง 

 

 

แอร์: เขาให้เราไปออดิชันอีกรอบด้วยนะ แต่ไม่ได้เหมือนเดิม เลยมาตกลงกับเพื่อนว่า ทำเอง ขายเองดิวะ นั่งแท็กซี่ไปอัดเพลงที่บ้านแม็กแล้วปั๊มแผ่นไปเดินขายในงาน Fat แล้วผมไปเห็นใน My Space ของวง Scrubb ว่าค่าย Believe Records มีโครงการให้ศิลปินหน้าใหม่ส่งเพลงไปประกวด แล้วได้เข้าไปอยู่ในอัลบั้ม Compilation พราวมากเหมือนเป็นนักบอลดาวรุ่งที่ทุกสโมสรต้องการ

 

จ๊ะ: ตอนนั้นพราวทั้งปี แต่ชีวิตแทบไม่มีอะไรเลยนะ ทำแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ออกไปเล่นคอนเสิร์ต ปาร์ตี้ เที่ยว คิดว่ากูเท่ นอน ตื่นมาเซตผมฟู ใครฟูกว่าชนะ แล้วออกไปเล่น วนลูปเหมือนเดิมด้วยความมั่นใจในตัวเองล้วนๆ ผ่านไป 1 ปี สัญญากับค่าย Believe Records ใกล้หมด พี่โน่ (ดนัย ธงสินธุศักดิ์) มาชวนว่าอยากมาทำเพลงกับกับ genie records ไหม 

 

แอร์: ความรู้สึกคือ มาแล้วว่ะ genie records ศิลปินที่เราฟังเพลงเขาอยู่ที่นั่นหมดเลย แต่ไม่รู้จะบอกที่ Believe Records อย่างไร เพราะความสัมพันธ์ทุกอย่างดี เขาดูแลเราดีมาก จนสุดท้ายจบที่พี่โน่โทรไปขอพี่บอล (ต่อพงศ์ จันทบุบผา) ให้ จากนักเตะดาวรุ่ง The Mousses ได้ย้ายมาอยู่ลีกใหญ่ 

 

จ๊ะ: เห็นภาพพี่ๆ วง Bodyslam เราจะได้ขึ้นเวทีมีสาวกรี๊ด มีคนดูเยอะๆ 

 

 

The Mousses ความน่าหมั่นไส้ในความทรงจำของต๋าและกั๊ป 

 

ต๋า: ตอนแรกผมไม่รู้จักเลย จนมีเพื่อนที่โรงเรียนบอกว่าไปเจอพี่จ๊ะ วง The Mousses มาโคตรเท่เลย ผมก็บอกว่าไหน เปิดเพลงให้ฟังดิ๊ ตอนนั้นผมทิฐิสูงเหมือนกันนะ เพราะเล่นดนตรีประกวดมาตั้งแต่เด็ก พอเปิดมาปุ๊บ เหี้ยไรวะเนี่ย อาจจะหมั่นไส้เพราะลุคด้วยมั้ง (หัวเราะ)

 

จ๊ะ: กูก็หมั่นไส้ตัวเอง (หัวเราะ) แต่ตอนนั้นชอบมากเลยนะ บอกเลยว่าช่วงนั้นกางเกงผู้หญิงหาซื้อยากมาก เพราะพวกผมแย่งซื้อหมด ใส่เสื้อกล้าม หัวฟูๆ ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไร รู้แค่ว่าใส่แบบนี้แล้วมั่นใจ อยากจะเฟี้ยวฟ้าว ข้าวเหนียวติดฟัน ถ้าลูกเป็นแบบนั้นจะตบให้คว่ำเลย (หัวเราะ) แต่วันนั้นมันสอนให้ได้รู้หลายเรื่องนะ 

 

กั๊ป: ถ้าเอาแค่ภาพที่เห็นก่อน ก็จะคิดว่าพวกตะกวดนี่อะไรของมันวะ (หัวเราะ) กางเกงรัด ชอบคุยกับเพื่อนว่าไข่แม่งเป็นฉาบ หัวก็ฟู เหี้ย อะไรของพวกมึงเนี่ย ซึ่งตอนนั้นพวกผมเป็นสายเนี้ยบ ไม่ได้เซอร์ 

 

พอมาดูเรื่องเพลงก็หงุดหงิดอีก เพลงวงใกล้ๆ กัน กูว่าเพลงกูดีกว่านะ ทำไมมึงดังวะ ตอนนั้นผมก็อีโก้เยอะ พวกมึงทำเพลงอย่างนี้แล้วดังเหรอวะ กูเจ๋งกว่า กูเล่นสดมันกว่า ซึ่งเหมือนกันครับ มองย้อนกลับไปมึงเป็นเหี้ยอะไรถึงคิดอย่างนั้นวะกั๊ป แต่ตอนนี้ไม่คิดแบบนั้นแล้วนะ แต่ละคนมีจุดเปลี่ยนผ่าน

 

แอร์: เออ ผมก็ภูมิใจกับมันนะ กับสิ่งที่ทำมา ถ้าไม่คิดอะไรแบบนั้นเลยอาจจะไม่มีวันนี้ก็ได้

 

 

เปลี่ยนจากหมั่นไส้ มาร่วมเดินตามฝัน ต๋าเข้าเป็นสมาชิกวง The Mousses 

จ๊ะ: ก่อนเข้า genie records แม็กมือกลองพูดมาคำหนึ่งว่า ไม่อยากถ่วงวง เพราะแม็กเล่นให้กับหลายวง ถ้า The Mousses กำลังจะย้ายไปเล่นอีกลีกหนึ่งที่ต้องจริงจังมากๆ แม็กไม่สามารถเป็นมือกลองให้ได้ และนี่คือทางที่ดีที่สุดสำหรับทั้งวงและกับแม็กด้วย ผมก็ช็อกตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลย เฮ้ย มันต้องสวยหรูดิ พวกเรา The Strokes เมืองไทย เราคือตัวเองของโลกนี้นะเว้ย

 

แอร์: กระจอกฉิบหายเลยว่ะ (หัวเราะ) 

 

จ๊ะ: พอแม็กออกผมก็เคว้ง แฟนผมรู้จักกับเพื่อนต๋า วันหนึ่งผมระบายให้ฟังว่ามือกลองลาออก เขารีบเอามือถือขึ้นมาเปิดคลิปที่อัดเสียงต๋าตีกลองคัฟเวอร์เพลง Bodyslam เอาไว้ หลังจากนั้นกลุ่มเพื่อนก็ช่วยนัดแนะให้ผมกับต๋ามาเจอกัน พอมาเจอกันปุ๊บ ผมคิดเลยว่ามันหล่อ จริงๆ ไม่ต้องตีกลองเลยก็ได้ ทุกอย่างโอเค (หัวเราะ) 

 

ต๋า: พอมาเจอกันจริงๆ จากที่เคยหมั่นไส้ กลายเป็น เออ ผมยาวๆ เสื้อกล้าม กางเกงรัดๆ ก็เท่ดีว่ะ เขาดูเฟรนด์ลี ตลกเวลาอยู่กับเพื่อนฝูง แล้วพี่จ๊ะบอกให้ผมดู The Mousses เล่นที่งานหนึ่ง ดูว่าชอบไหม ผมเป็นสายเล่นดนตรีเป๊ะมาตั้งแต่เด็ก ไปถึงปุ๊บเซอร์ไพรส์ผมเลย แบบนี้เป็นศิลปินได้เหรอวะ ขนาดวงเรายังคิดว่าไม่พอเลย ทำไมวงนี้เป็นศิลปินได้วะ (หัวเราะ) แต่ไม่ได้บอกพี่เขานะ

 

จ๊ะ: ถ้าบอกกูคงจะให้มึงอยู่วงกูหรอก อย่าลืมตอนนั้นยังเก่งที่สุดในโลกอยู่ ถ้าบอกตอนนั้นแยกทางแน่นอน (หัวเราะ)

 

ต๋า: แต่จุดที่ทำให้ผมมาอยู่กับ The Mousses เพราะผมกลับไปคุยกับพี่น้องอีก 3 คนว่าจะจริงจังกับดนตรีไหม คำตอบที่ได้ไม่ไปทางเดียวกัน หลังจากนั้นเลยตัดสินใจเลิกวงพี่น้องที่ทำกันมา 10 ปี เพราะอย่างน้อยพี่เขาได้เซ็นสัญญาแล้ว ซึ่งมันตรงกับความฝันของผมที่อยากเป็นศิลปิน ตอนนั้นผมหน้ามืดด้วย ไม่ได้คิดแล้วว่าเก่งหรือไม่เก่ง ลองดูก่อน (หัวเราะ) 

 

 

The Mousses กับกำแพงในโลกแห่งความเป็นจริงที่ genie records 

แอร์: เราเริ่มจากเซ็นสัญญาเป็นศิลปินฝึกหัด 1 ปี ด้วยความมั่นใจว่าพวกพี่คิดถูกแล้วครับที่เลือกผมมา สรุปคือส่งไป 7 เพลง ไม่ผ่านสักเพลง จากที่เมื่อก่อนส่งไปกี่เพลงผ่านหมด ไม่ผ่านแบบเททิ้งนะครับ ไม่เอาเลย ไม่ใช่ให้กลับไปแก้ใหม่

 

จ๊ะ: ตอนนั้นที่กำแพงในใจเริ่มร้าว เมื่อก่อนเราจะมองทุกอย่างเป็นก้อนกรวดที่เกะกะทาง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ นี่คือค่ายใหญ่ที่ทุกคนยอมรับ ถ้าเขาปฏิเสธตลอดพวกมึงต้องเริ่มคิดกันแล้วนะ เริ่มเปิดใจ เริ่มเทน้ำออกจากแก้ว แต่ยังไม่เยอะนะ กระฉอกออกไปนิดหน่อย พอเติมน้ำแข็งโซดาเพิ่มได้ แต่ยังไม่ตกผลึก มั่นใจในตัวเองอยู่

 

แอร์: เวลาส่งเพลงใหม่ก็แอบแทรกเพลงเก่าที่เขาไม่เอายัดเข้าไป เผื่อว่าพี่เขาจะลืม (หัวเราะ) จนถึงจุดหนึ่ง พี่นิค (วิเชียร ฤกษ์ไพศาล ผู้บริหาร genie records) คงคิดว่าพวกนี้มันดื้อ ต้องปล่อยให้ไปเจอว่าชีวิตจริงเป็นอย่างไร สุดท้ายเลยได้ปล่อยเพลงสราญออกมา แล้วได้เจอโลกของจริง ไปเล่นที่ไหนมีแต่คนนิ่ง อ้าปากค้าง แต่พอเราเล่นคัฟเวอร์เพลงของพี่ปาล์มมี่ Bodyslam เพลงวงอื่นๆ คนกระโดดกันเป็นกุ้งเลย โห คนไม่เก็ตเพลงเราเลยเหรอวะ

 

กั๊ป: แต่ผมรู้สึกว่า The Mousses ยุคนี้มีพัฒนาการขึ้นนะ มีจุดที่ตรงรสนิยมของเรามากขึ้น มีพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่ของเรายังดีกว่าอยู่ (หัวเราะ) 

 

จ๊ะ: สราญเป็นเพลงที่พวกเราชอบมากนะครับ แต่พอผลงานที่ออกมาไม่มีคนชอบมันเฟลมากเลยนะ พักวงไปปีหนึ่ง เพราะเราไม่มีเพลงออกมาเลย ซึ่งผมพยายามทำมาตลอดนะ แต่ด้วยทิฐิอยากทำเพลงแบบที่ชอบอยู่ แต่เบคจะเริ่มปรับตัวแล้ว และเริ่มเข้าสู่ยุคสงครามเย็นครั้งที่หนึ่งของวง The Mousses 

 

มิวสิกวิดีโอเพลงสราญ

 

สงครามพลังจิตของ ซุน ‘แอร์’ คู และ เบ ‘จ๊ะ’ ต้า

จ๊ะ: จริงๆ เริ่มตั้งแต่ตอนทำสราญแล้วครับ พี่โน่ให้พี่อู๊ด (ประเวช นพนิราพาธ มือกีตาร์วง Bandwagon) มาช่วยประกบ วันนั้นผมไปช้า คนอื่นเขาทำอะไรกันไปแล้ว ด้วยทิฐิของตัวเองล้วนๆ มีท่อนหนึ่งที่ผมพูดออกไปเลยว่า ถ้ายังใส่โน้ตนี้อยู่ พวกมึงเล่นกันได้เลย แต่กูออกจากวง สุดท้ายเขาก็ยอมปรับโน้ตนั้นเพื่อให้เราสบายใจ

 

ต๋า: พอไฟแรง อีโก้แต่ละคนเยอะมากจนล้น ทั้งพี่แอร์ พี่จ๊ะ และของผมด้วย แต่ด้วยความเป็นจูเนียร์เราจะอะลุ่มอล่วยมากกว่า แล้วเหมือนคอยดูพี่แอร์ พี่จ๊ะ เป็นโกคูกับเบจิต้าปล่อยพลังจิต ทำสงครามเย็นกันอยู่ตรงกลาง 

 

จ๊ะ: พวกเราสนิทกันมาก แต่คุยกันน้อย แล้วคิดว่าตัวเองถูก บวกกับผมมีปมตั้งแต่วัยเด็ก ที่เคยถูกเพื่อนบอกว่าชาตินี้มึงไม่มีทางทำเพลงได้หรอก อย่าเสียเวลาจับกีตาร์เลย แล้วมันสะสมมาเรื่อยๆ เวลาผมแต่งเพลง หรือคิดอะไรมาแล้วไม่ผ่าน แต่เบคทำมาคนอื่นจะชอบ โอ้โห ได้ ถ้าพี่ชอบอันนั้นทำเลย ผมไม่ทำ เบคแต่งคีย์ C มาเหรอ กูเล่น C# ไม่เถียงกันนะ แต่ตอบโต้กันแบบนี้ 

 

เป็นแบบนั้นกันตลอด จนวันหนึ่งกำแพงผมเริ่มแตกมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านความผิดหวัง ผ่านการเล่นคอนเสิร์ตแล้วไม่มีคนสนุก เราอยากมีคนฟังแล้ว อยากทำให้คนสนุกได้ด้วยเพลงของเราจริงๆ ไม่ใช่ใช้เพลงคนอื่นคัฟเวอร์มาเป็นสื่อกลาง 

 

ต๋า: เขาทำสงครามกันตลอดเป็น 10 ปี จนโปรดิวเซอร์ทนไม่ไหว ต้องลาออกไปแล้วครับ (หัวเราะ)

 

จ๊ะ: ช่วงที่เบคเขียนเพลงเจ้าชายเจ้าหญิง มีเพลงที่ป๊อบขึ้นอย่าง บ้างไหม ผมค่อยๆ คลายมากขึ้น แต่ยังทำสงครามกันอยู่นะ จนถึงเพลง ลัก ซึ่งผมชอบที่สุดในทุกเพลงที่เบคแต่ง มันร็อก มันเพราะ เมโลดี้หวานหู มึงอุตส่าห์แต่งมาดีขนาดนี้ เพราะฉะนั้นกูจะโซโล่ให้ดีด้วย เริ่มคลายลงไปอีก เชื่อมั่นในตัวเพื่อนมากขึ้น แต่งเนื้อร้องทำนองมาเลย เดี๋ยวโซโล่ให้ดีที่สุดแล้วกัน จนรวมเพลงออกเป็นอัลบั้ม Twenty Something มาได้ 

 

มิวสิกวิดีโอเพลงลัก 

 

 

‘ความจริง’ และ ‘Change’ อัลบั้มที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

แอร์: ช่วงทำเพลงความจริงที่เป็นเพลงแรกในอัลบั้มสองกับ genie records ตอนนั้นทำดนตรีกันเสร็จหมดแล้ว เหลือแค่ผมที่คิดเนื้อร้องไม่ออก พี่นิคเลยบอกให้ไปปรึกษาโอม Cocktail (ปัณฑพล ประสารราชกิจ) ที่เพิ่งเข้ามา genie records เหมือนกัน ก็ไปนั่งทำเพลงที่บ้านโอมจนได้เพลงความจริงออกมา สุดท้ายเหมือนเดิมเลย คือได้เพลงที่พวกเราชอบมาก แต่ไม่สำเร็จเท่าที่คาดหวังกันเอาไว้

 

จ๊ะ: แล้วความจริงของเพลงนี้ก็ปรากฏอีกอย่าง ว่าจากที่ก่อนหน้านี้มีงานเดือนละ 15-16 งาน เหลือแค่ 1 งาน ลดราคาโชว์แล้ว ทำอะไรไปหมดแล้วก็ยังไม่มีงาน กลับไปสู่ช่วงเฟลอีกรอบ ความรู้สึกเหมือนทีมฟุตบอลที่เพิ่งขึ้นลีกใหญ่มาใหม่ๆ แต่ตอนนี้กำลังอยู่ช่วงท้ายตาราง กำลังจะตกชั้นแล้ว

 

คราวนี้มีอีกจุดเปลี่ยนใหญ่คือ พอไม่มีงานผมเที่ยวหนักมากติดกันเป็นเวลาปีกว่า ระหว่างรอเขียนเพลง ไม่มีอะไรทำก็เที่ยวอย่างเดียว ย้ายกลุ่มไปเรื่อยๆ แล้วทำตัวแย่มาก ทุกคนไม่ชอบผมเลยนะ แต่ผมทิฐิ ไม่ชอบให้กินเหรอ โอเค เดี๋ยวกินเพิ่มอีกกลม 

 

ทุกอย่างแย่ถึงขนาดวงต้องมาคุยกันว่าจะทำต่อหรือเลิก ระหว่างนั้นผมแอบไปเขียนเพลงมานะ แต่เบคไม่ยอมร้องเพลงผม เพราะตอนนั้นเบคต้องแฮนเดิลเรื่องเนื้อร้องคนเดียว หนึ่งในนั้นคือเพลงเจ็บที่ต้องรู้ ที่ผมจำได้แม่นเลยคือ กินเหล้าถึง 7 โมงเช้า มีเพื่อนคนหนึ่งช่วยหยิบกีตาร์นั่งเขียนเพลง จนกลายเป็นเพลงแรกที่ผมเขียนได้ในชีวิต 

 

แอร์: จำได้ว่าจ๊ะเคยเอาเพลงมาขายเรื่อยๆ แต่ผมไม่ยอมร้อง เป็นสงครามเย็น ปล่อยพลังสู้กันอีกรอบ 

 

ต๋า: พอผมเป็นคนที่ต้องอยู่ตรงกลางสงครามนั้นมากๆ เห็นปัญหาสะสมหลายๆ อย่าง จนเคยไปบอกพี่จ๊ะเหมือนกันนะว่าผมจะหยุดทำแล้ว แต่สุดท้าย พอถอยหลังมามอง ทุกคนเขาอยากมายืนอยู่ตรงนี้นะ ตรงนี้อาจไม่ใช่จุดสูงสุด แต่กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้มันไม่ง่ายนะ มันเหนื่อย แต่มีความสุข เราเลือกทำมาถึงขนาดนี้แล้ว ทำต่อดีกว่า

 

จ๊ะ: แต่ตอนนั้นไม่ได้แล้ว คุยกันว่าถ้าจะทำต่อ เงื่อนไขเดียวคือเบคต้องร้องเพลงของผม เพราะพี่นิคบอกแล้วว่าถ้าเพลงต่อไปออกมาแล้วไม่สำเร็จ จะเป็นเพลงสุดท้าย ไม่ต่อสัญญา

 

แอร์: ตอนนั้นไม่มีทางเลือก เพราะผมเขียนเพลงไม่ได้จริงๆ ไม่ร้องเพลงนี้ก็ไม่มีเพลงอื่น แล้วก็เป็นเพลงที่เปิดให้คนอื่นเข้ามาเยอะขึ้น ตั้งแต่เนื้อเพลงของจ๊ะ ให้พี่หั่ง Potato (ทีฆทัศน์ ทวิอารยกุล) มาช่วยคุมร้องให้ จากเดิมที่ทำกันเองมาตลอด จนได้เพลงเจ็บที่ต้องรู้ ที่ทำให้เราได้รู้จักคำว่าแมสที่แท้จริงออกมา 

 

จ๊ะ: แล้วก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนของทุกอย่างจริงๆ ทุกครั้งเวลาคนบอกว่าวง The Mousses ทำงานด้วยยาก ส่วนใหญ่เป็นเพราะความเกเรและเอาแต่ใจของผม ไม่มีระเบียบวินัย เจ็บที่ต้องรู้คือพรจากฟ้าครั้งสุดท้าย ทำให้ผมบอกตัวเองว่า ถ้าอยากทำงานเป็นศิลปินมืออาชีพ มึงต้องเปลี่ยนตัวเองนะ 

 

พอคลี่คลายด้วยเพลงเจ็บที่ต้องรู้ เบคมาบอกผมว่าจ๊ะมึงแต่งเพลงมาได้เลย กูร้องให้มึงได้แล้ว ส่วนผมก็เปลี่ยนใหม่ คราวนี้ถามความรู้สึกมันด้วยว่ารู้สึกอย่างไร ถ้าไม่ชอบก็ฟังว่าไม่ชอบตรงไหน คุยกันตลอดว่า ถ้าอกหักมึงจะทำอย่างไรวะ อ๋อ แบบนี้โอเค เฮ้ย มีเพลงน้ำตาที่หาย อันนี้เป็นเรื่องของกูว่ะ มึงช่วยร้องให้หน่อย ไม่ปล่อยพลังจิตใส่กันแล้ว 

 

พอได้เพลงครบ เราเลยตั้งชื่ออัลบั้มว่า Change เพราะมันคือช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงของพวกเราวง The Mousses จริงๆ 

 

มิวสิกวิดีโอเพลงเจ็บที่ต้องรู้

 

 

จากเคยเกลียดขี้หน้า The Mousses กลายเป็นวงที่ทำให้กั๊ปอยากกลับมาเล่นดนตรีอีกครั้ง

กั๊ป: ตอนเพลงเจ็บที่ต้องรู้ ออกมาผมเลิกเล่นดนตรีแล้วไปทำงานเป็นพนักงานในบริษัทค่ายเพลงหนึ่งไปแล้ว เพราะรู้สึกผิดหวังกับการทำวงมาหลายครั้งมาก ผมอยากเล่นดนตรีมากนะ ทุกครั้งที่แยกกับวงเก่า ผมจะพยายามมูฟออนเพื่อให้เล่นดนตรีอยู่เสมอ แต่ไม่เคยสำเร็จ วงแตกไปสองรอบภายในเวลาไม่ถึงปี คุยกับเพื่อนที่เหลืออยู่ก็กลายเป็นทัศนคติไม่ตรงกัน เพราะผมอยากทำวงที่ประสบความสำเร็จมากๆ ตอนนั้นข้างในใจมันเสียหมดเลย ขายเบส ไม่เล่นดนตรีแล้ว ไม่ทำงานเบื้องหน้า เป็นคนเบื้องหลังคอยช่วยเขาแล้วกัน 

 

ระหว่างนั้นแทบไม่ได้เล่นดนตรีเลย ยกเว้นงานที่มีคนขอให้ไปเล่นแทน แล้วก็ไม่ได้รู้สึกสนุก คิดว่าเป็นงานแล้วเล่นให้จบไป จนวันหนึ่งเพื่อนผมที่สนิทกับ The Mousses มาบอกว่าไปเล่นให้วงนี้ไหม ผมคิดหนักมากนะ ลังเล สุดท้ายก็เข้าไป แล้วคิดว่าเข้ามาเล่นรอให้เขาหาคนใหม่ได้แล้วกัน 

 

พออยู่ด้วยกันได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ฟังกลองของต๋า แล้วรู้ว่าเราขาดการได้ยินเสียงกลองไปนานแล้วนะ ทำไมมันเพราะจังเลย ช่วงนั้นทัวร์เยอะ ไม่ได้คิดอะไรนอกจากจบงานนี้ พรุ่งนี้ก็ไปเล่นอีก จนเวลาผ่านไปเร็วมาก และคิดขึ้นมาว่าชีวิตแบบนี้มันโอเคนี่หว่า เราไม่ได้แย่ขนาดนั้น จากที่ก่อนหน้านั้นผมจะโทษว่าที่ทุกอย่างพังไปเป็นเพราะอีโก้ของผม

 

ผมรู้สึกโชคดีมากนะที่ได้มาเจอ The Mousses ตอนนี้ เพราะก่อนหน้านี้เราอีโก้ บอกพวกเขาเป็นตะกวดอยู่เลย (หัวเราะ) เห็นพี่จ๊ะช่วงกินเหล้าหนักๆ ก็คิดว่าเป็นคนไม่มีวินัย คิดตลอดว่าคนนี้จะไหวเหรอ แต่พอได้รู้จักกันจริงๆ ในวันที่เขาตกผลึกได้ เขามีวิธีคิดที่ดี ไม่ได้เป็นอย่างที่เราเคยยี้มาก่อน พี่แอร์ก็มีวิสัยทัศน์ดี ไม่ใช่แค่สนุกไปวันๆ 

 

 

Happy Alone อัลบั้มแห่งการปลดล็อก และได้วง The Mousses ในอุดมคติ ที่คิดเอาไว้เมื่อ 13 ปีก่อน เป็นครั้งแรก

แอร์: พอมีเพลงเจ็บที่ต้องรู้ มีน้ำตาที่หาย ที่ประสบความสำเร็จ กลายเป็นมีมายด์เซตหนึ่งครอบพวกเราเอาไว้คือ ต้องทำเพลงแบบนี้เท่านั้น เราจะไม่แหกกรอบเลย เพราะเดี๋ยวไม่ดัง 

 

จ๊ะ: จากเมื่อก่อนเสพติดความเป็นตัวเองเหลือเกิน ไม่สนใจใครเลย ตอนนี้กลายเป็นเสพติดความแมส เพราะเจ็บที่ต้องรู้มันคือดังของจริง คนร้องลั่นโดยที่ไม่ต้องบิลด์ จนกลายเป็นความกลัวว่าจะไม่เกิดสิ่งนี้ขึ้นอีก ตอนหลังไปที่ไหนแฟนเพลงก็จะบอก พี่จ๊ะ ขอเพลงอกหักหน่อย เฮ้ย กูร้องไห้จนน้ำตาเริ่มจะหมดแล้ว (หัวเราะ)

 

แอร์: ปัญหาคือเวลาไปโชว์จะเป็นเพลงช้าระนาบเดียวกันหมด พอช้าก็ต้องไปหาเพลงคนอื่นมาเล่นอีกแล้ว กลายเป็นเพลงสนุกที่สุดของโชว์เป็นเพลงคนอื่นเหมือนเมื่อก่อนเลย ซึ่งเรายังไม่เคยลืมความที่บอกว่าต้องทำให้คนสนุกด้วยเพลงของเราให้ได้

 

จ๊ะ: มาพอดีกับตอนที่ The Mousses มีโอกาสทำ E.P. Album เราก็มาดูกันว่าตอนนี้หัวใจแต่ละคนเป็นอย่างไร จะสื่อสารแบบไหน เบคเสนอมาว่าที่ผ่านมาเพลงเราเป็นอกหักระนาบเดียว คราวนี้ลองย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของเราไหม เราโตมาจากปาร์ตี้หนึ่งชื่อ Happy Alone ที่ตอนนั้นเราคิดได้แค่ว่า หมายถึงความโสด

 

แต่พอโตมาถึงเข้าใจว่า Happy Alone ไม่ใช่แค่โสด แต่หมายถึงอยู่คนเดียวให้มีความสุข ความสุขเกิดจากหัวใจตัวเอง ถ้าวันนี้มีคนรัก มีคู่ครองก็รักษาเขาไว้ แต่ถ้าวันนี้อยู่คนเดียว คุณไม่ผิดปกติ คุณสามารถมีความสุขได้ แค่ค้นหามันให้เจอ คุณทำอะไรก็ได้ การอยู่คนเดียวมีข้อดีตั้งเยอะ

 

 

แอร์: มันเลยค่อยๆ ต่อยอดเพลงในอัลบั้มมาจากคำว่า Happy Alone กลายเป็นคำว่า Cosplay ที่เป็นเพลงแรกของอัลบั้ม ในด้านเนื้อหาพูดถึงความรัก แต่อีกด้านหนึ่งมันถูกดีไซน์ดนตรีเพื่อให้เราเอาไปเล่นในคอนเสิร์ตได้ โดยที่ไม่ต้องซ้ำทางกับเจ็บที่ต้องรู้ 

 

จ๊ะ: มองมันเป็นรูปแบบของความสนุกที่ใส่ความเป็นเราได้เต็มที่ อย่างผมโซโล่โน้ตเดียว คนจะงงว่าทำได้อย่างไร ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงแพนิก ความกลัวไม่แมสเกิดขึ้น แต่คราวนี้เราไม่กลัวแล้ว เราปลดปล่อยตัวเองเลย สมัยเล่นงาน Happy Alone เราแคร์เหรอวะ อยู่ดีๆ จะกลิ้งลงไปกับพื้นก็กลิ้ง อยู่ดีๆ จะเล่นโน้ตเดียวก็เล่น แล้วทำไมถึงไม่เอามาใส่ในโปรเจกต์นี้ 

 

แอร์: หรืออย่างเพลงขอดูก่อน เราก็พูดถึงคอนเซปต์ Happy Alone ด้วยการจำลองมิวสิกวิดีโอที่เป็นรายการหาคู่ กับทรงผม แฟชั่นการแต่งตัวย้อนยุค ฉีกลุคพวกเราที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ผมกับจ๊ะแบ่งท่อนกันร้องอย่างเป็นทางการในเพลง แล้วก็เป็นครั้งแรกที่พวกเราใส่ท่าเต้นลงไปในเพลงของ The Mousses เพื่อสร้างสีสันใหม่ๆ ด้วย

 

 

จ๊ะ: เพลงยังไงก็ต้องไหว ก็ชัดมากๆ เรื่องคอนเซปต์การอยู่คนเดียว ที่ยังเจ็บปวดเวลาผิดหวังในความรักมากๆ เรายังเสียใจ เรายังร้องไห้ แต่เราจะไม่อกหักฟูมฟายเหมือนเพลงหลอกให้รัก หรือ เจ็บที่ต้องรู้ ครั้งนี้เรายอมรับว่าเสียใจ แต่ก็พยายามยินดีถ้าเขามีความสุข ขอให้ความเสียใจของฉันมันคุ้มค่ากับความสุขของเธอแล้วกัน เหมือนหนังแวมไพร์ที่นางเอกกัดคอดูดเลือดพระเอก แต่เราก็ยอมเจ็บเพื่อให้เธอมีชีวิตอยู่ 

 

แอร์: อย่างเพลงคนปากแข็ง ที่ยังไม่ปล่อยออกมา ก็จะแสดงให้เห็นว่า Happy Alone ไม่ได้มีแค่โหมดเดียว เพลงนี้จะเป็นเพลงที่ตรงไปตรงมาและหวานที่สุดของ The Mousses ถ้าพูดให้เห็นภาพคือ เมื่อก่อนเราอาจเป็นผู้ชายที่ใส่เสื้อฮาวายแบะอกยืนจิบเบียร์ โยกตัวเบาๆ ในผับ ส่งสายตามองสาวไปเรื่อยๆ 

 

จ๊ะ: แต่ปัจจุบันเหมือนเราผ่านค่ำคืนไฟลุก สนุกแบบนั้นมาเยอะจนกลายเป็นคนเย็นชา ตั้งใจทำงาน ใส่สูทล้วงกระเป๋า ไม่ได้โฟกัสเรื่องความสัมพันธ์แล้ว แต่วันหนึ่งไปตกหลุมรักใครสักคนขึ้นมาอีก แต่ดันเป็นคนปากแข็งไปแล้ว เป็นการทลายกำแพงหัวใจอีกรอบ ที่มีความซับซ้อนด้านความรู้สึกมากขึ้น 

 

แอร์: เราได้ทดลอง เปิดใจ คลี่คลายความรู้สึกหลายๆ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตั้งแต่ตั้งวง The Mousses ขึ้นมา ยิ่งรวมกับที่เราพูดกันมาถึงเรื่องราวและเส้นทางต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผมรู้สึกนะว่าเพลงทั้งหมดใน E.P. Happy Alone ทำให้ The Mousses ในเวลานี้ คือวงดนตรีที่ผมเคยวาดภาพเอาไว้เมื่อ 13 ปีก่อน วงดนตรีที่สามารถดีไซน์ได้ทุกอย่างทั้งภาพ ทั้งเสียง ได้ด้วยตัวของพวกเราเองจริงๆ 

 

มิวสิกวิดีโอเพลงยังไงก็ต้องไหว 

 

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

FYI
  • สำหรับคนที่อยากเห็นวง The Mousses เวอร์ชันแอร์วาดภาพเอาไว้มากที่สุด เตรียมตัวให้พร้อมกับ Happy Alone Session ที่ไม่ใช่แค่การเล่นคอนเสิร์ตธรรมดา แต่เป็นโชว์พิเศษแบบเต็มมิติ ที่จะพาทุกคนไปเห็นเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในแต่ละเพลง ผ่านห้อง Happy Alone ทั้ง 7 ห้อง ทางเฟซบุ๊ก The Mousses และยูทูบ genie records พร้อมกันวันที่ 27 สิงหาคมนี้
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X