การพบกันในเกมแดงเดือดครั้งที่แล้วเกิดขึ้นในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในวันที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพิ่งได้ฉลองแชมป์ลีกคัพ โทรฟีใบแรกของสโมสรในรอบ 7 ปี อยู่ในช่วงที่มั่นใจอย่างมากซึ่งสวนทางกับลิเวอร์พูลที่ระส่ำระสายมาตลอดทั้งฤดูกาล 2022/23
แต่ผลการแข่งขันที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดหมายเมื่อ ‘หงส์แดง’ ไล่ถล่มคู่แค้นตลอดกาลถึง 7-0 เป็นการแพ้ชนะด้วยสกอร์ที่ขาดกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ความเป็นคู่อริกันระหว่างทั้งสองสโมสร
เวลาผ่านมาร่วม 9 เดือน คู่ปรับแห่งถนนสาย M62 กำลังจะโคจรกลับมาพบกันอีกครั้งในสถานการณ์ที่พลิกผัน เมื่อลิเวอร์พูลฟื้นคืนชีพกลับมาเป็นทีมจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก ในขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ด แม้จะอยู่อันดับที่ 6 ของตารางแต่อาการของพวกเขาเรียกได้ว่าเข้าขั้น ‘โคม่า’ เพราะนอกจากผลงานจะทรุด ตกรอบแชมเปียนส์ลีก ยังมีตัวบาดเจ็บและแบนถึง 13 คน
แบบนี้เกมที่แอนฟิลด์ในคืนนี้จะออกมาเป็นอย่างไร มีเรื่องราวใดที่น่ารู้เก็บไว้เป็นข้อมูลพูดคุยประสาฟุตบอลกันบ้าง? ขออนุญาตรวบรวมมาฝากกันพอสังเขป
แอนฟิลด์ 2.0
ลิเวอร์พูลใช้เกมแดงเดือดในวันนี้เป็นฤกษ์ดีในการเปิดใช้อัฒจันทร์สนามฝั่งแอนฟิลด์ โรด ที่ปิดปรับปรุงเพื่อเพิ่มความจุมานาน แม้ว่าจะเป็นการเปิดเพียงส่วนเดียวก่อนคือส่วนชั้นบน (Upper Tier)
เดิมอัฒจันทร์ที่ทำการปรับปรุงใหม่นี้มีกำหนดจะเสร็จตั้งแต่ช่วงเปิดฤดูกาลที่ผ่านมา แต่ประสบปัญหาไม่คาดคิดเมื่อผู้รับเหมาเจ้าเดิมมีปัญหาทางการเงินหนักถึงขั้นล้มละลาย ทำให้การก่อสร้างล่าช้าไปหลายเดือน
แต่ในที่สุดอัฒจันทร์ชั้นบนได้ปรับปรุงเสร็จแล้ว และเปิดทดสอบการใช้งานไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก่อนที่ทางสภาเมืองจะเซ็นใบอนุญาตให้ใช้งานได้จริง ทำให้สนามแอนฟิลด์มีความจุรวมเพิ่มขึ้นอีก 7,000 ที่นั่ง รวมแล้วเป็น 57,000 ที่นั่ง
หากอัฒจันทร์ชั้นล่างส่วนที่เหลือเสร็จ ความจุสนามจะเพิ่มเป็น 61,000 ที่นั่ง
สำหรับลิเวอร์พูล นี่คือข่าวดีอย่างมากและพอจะเรียกได้ว่านี่คือ ‘นิวแอนฟิลด์’ หรือ ‘แอนฟิลด์ 2.0’ ที่พวกเขารอคอยมาแสนนาน เพราะนับตั้งแต่เริ่มมีไอเดียที่จะปรับปรุงสนาม ไปจนถึงการวางแผนจะสร้างสนามแห่งใหม่ใช้เวลานานมากกว่า 2 ทศวรรษ
สิ่งที่ดีที่สุดคือลิเวอร์พูลยังได้อยู่ในบ้านหลังเก่าที่เป็นจิตวิญญาณของพวกเขา โดยที่สนามได้ปรับปรุงเพิ่มความจุจากเดิมอีกกว่า 17,000 ที่นั่ง ซึ่งนั่นหมายถึงเงินรายได้ของสโมสรที่มั่นคงในระยะยาว
เทรนต์ในบท No.6
การบาดเจ็บของ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ซึ่งได้รับบาดเจ็บที่เข่าในเกมกับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ถึงขั้นเป็นแผลฉีกขาดจนต้องเย็บนั้น ปรากฏว่าแผลหายช้ากว่าที่คาดและต้องระมัดระวังเกี่ยวกับอาการติดเชื้อด้วย
นั่นหมายถึงลิเวอร์พูลจะไม่มีกองกลางห้องเครื่องทีมชาติอาร์เจนตินาลงสนามในเกมแดงเดือดครั้งนี้ และเป็นปัญหาสำหรับ เจอร์เกน คล็อปป์ ทันที
เพราะบอสใหญ่ชาวเยอรมันต้องตัดสินใจว่าจะให้โอกาส วาตารุ เอนโด กองกลางตัวรับธรรมชาติคนเดียวในทีมเวลานี้ลงสนามหรือไม่ เพราะใน 2 เกมหลังสุดที่ได้โอกาสในการลงเล่นตัวจริง กัปตันทีมชาติญี่ปุ่นทำผลงานได้ไม่ดีนักจนต้องโดนเปลี่ยนตัวออกจากสนามในช่วงพักครึ่ง ทั้งในเกมที่พบคริสตัล พาเลซ และเกมยูโรปาลีกกับอูนิโอน แซงต์-ชิลลัวส์
ปัญหาสำหรับเอนโดคือความเร็วที่น้อยกว่าคนอื่น และจังหวะในการเล่นที่ช้าส่งผลต่อรูปเกมของทีม ซึ่งแม้จะมีบางนัดที่เล่นได้ดี แต่ถ้ามองจากฟอร์ม 2 นัดที่ผ่านมา และจากการที่คล็อปป์ตัดสินใจที่จะถอดเขาออกมาพักกลางทาง มีโอกาสสูงที่ดาวเตะวัย 30 ปีจะไม่ได้ลงสนามเป็นตัวจริง
ถ้าเป็นเช่นนั้นคนที่อาจต้องรับหน้าที่แทนคือ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ รองกัปตันทีมที่ดูปรับตัวจนกลายเป็นกองกลางมากกว่าแบ็กขวาไปแล้ว ซึ่งจอมเปิดบอลวัย 25 ปีก็อยู่ในช่วงฟอร์มการเล่นที่ดีพอดี ทั้งยิงทั้งเปิดแทบทุกนัด
ศูนย์หน้าผ้าเย็น
ไฮไลต์เล็กๆ ที่อยากให้จับตามองในเกมแดงเดือดคืนนี้ยังมีเรื่องของการดวลกันระหว่างศูนย์หน้าที่มีปัญหาทั้งคู่อย่าง ดาร์วิน นูนเญซ และ ราสมุส ฮอยลุนด์
นูนเญซถึงจะมีช่วงที่ดูท็อปฟอร์มเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ในหลายนัดหลังกองหน้าชาวอุรุกวัยดูเริ่มประสบปัญหาขาดความมั่นใจอีกครั้ง ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่มีโอกาสจบสกอร์มากมายเป็นเข่งแต่กลับทำไม่ได้แม้แต่ประตูเดียวในรอบเดือนที่ผ่านมา
แต่ที่ผ่านมาไอ้หนุ่มผมยาวเป็นกองหน้าที่มักจะทำผลงานได้ดีในเกมใหญ่ที่มีแรงกระตุ้นมากเป็นพิเศษ ซึ่งก็น่าจับตามองว่าดาวยิงขวัญใจชาวหงส์แดงจะเรียกฟอร์มกลับมาได้ไหมในเกมนี้
ส่วนฮอยลุนด์นั้นต้องบอกว่าหนักยิ่งกว่านูนเญซอีก เพราะตั้งแต่ย้ายมาจากอตาลันตาด้วยค่าตัว 72 ล้านปอนด์ กองหน้าวัย 20 ปีทำได้เพียงแค่ 5 ประตู โดยที่ไม่สามารถทำประตูในพรีเมียร์ลีกได้เลยแม้แต่ลูกเดียว
ปัญหาที่มีการพูดถึงกันคือกองหน้าทีมชาติเดนมาร์กไม่ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมทีมมากเท่าที่ควร แต่นั่นก็เป็นแค่ส่วนเดียว อีกส่วนนั้นคือการที่เขาเองก็ไม่สามารถพาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งที่จะได้โอกาสในการลุ้นทำประตูมากเท่าไรด้วย
เพียงแต่ถ้าจะมีสกอร์แรกในพรีเมียร์ลีก แล้วเป็นที่แอนฟิลด์ ก็จะถือเป็นการเปิดบัญชีที่ดีสำหรับฮอยลุนด์
เกมอัปคลาส
ถึงจะนำจ่าฝูงและสร้างผลงานสุดระทึกมาหลายต่อหลายนัด อีกทั้งยังเคยมีประสบการณ์มากมายในการเป็นทีมที่เบียดลุ้นแชมป์ชนิดวัดกันตัวต่อตัวกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้มาหลายฤดูกาล
แต่ในสายตาและความรู้สึกของใครหลายคน ลิเวอร์พูลชุดนี้ยังไม่ได้เป็นทีมลุ้นแชมป์แบบเต็มตัว
หนึ่งในคนที่มองแบบนั้นคือ เจมี คาร์ราเกอร์ ตำนานแห่งแอนฟิลด์เองที่มองว่าทีมเก่าของตัวเองนั้นทำผลงานได้ดีเกินกว่าที่ควรจะเป็น และการพลิกสถานการณ์จากทีมเป็นรองกลับมาเก็บแต้มได้มากถึง 18 คะแนน มองอีกด้านหมายถึงลิเวอร์พูลยังเป็นทีมที่มีจุดอ่อนพอสมควร
ทีมที่ลุ้นแชมป์เต็มตัวไม่ควรต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนขนาดนี้
อีกทั้งถึงจะมีการพูดกันเรื่อง ‘ลิเวอร์พูล 2.0’ แต่คาร์ราเกอร์มองว่าคนที่แบกทีมอยู่ก็ยังคงเป็นแกนหลักจากชุด ‘1.0’ อย่าง อลิสสัน เบ็คเกอร์, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ซึ่งผ่านการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2019/20
นักเตะอย่าง โดมินิก โซโบสไล, อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, ไรอัน กราเฟนแบร์ก, ดาร์วิน นูนเญซ, โคดี กักโป ไปจนถึง หลุยส์ ดิอาซ ต้องพิสูจน์ตัวเองอีกมากหากคิดอยากจะยกระดับขึ้นมาลุ้นแชมป์เต็มตัว
คาร์ราเกอร์มองว่าถ้าลิเวอร์พูลเอาชนะแมนฯ ยูไนเต็ดในเกมนี้ และต่อด้วยเกมกับอาร์เซนอลในสัปดาห์หน้าได้ก่อน ถึงจะพอเชื่อได้ว่าพวกเขามีโอกาสจะกลับมาเป็น ‘ทีมลุ้นแชมป์’ จริงๆ
จากมูรินโญ โซลชาร์ ถึงเทนฮาก
มีการพูดกันก่อนเกมว่าโชเซ มูรินโญ และ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ดหลังแพ้ลิเวอร์พูล
ในความเป็นจริงแล้วมีเพียงแค่มูรินโญคนเดียวที่ถูกปลดจากตำแหน่งหลังนำทีมบุกมาแพ้ที่แอนฟิลด์ 3-1 เมื่อเดือนธันวาคม 2018 เพราะในรายของโซลชาร์นั้นข้อเท็จจริงคือหลังจากแมนฯ ยูไนเต็ดปราชัยย่อยยับคาโอลด์แทรฟฟอร์ด 5-0 กุนซือชาวนอร์เวย์ยังได้โอกาสในการคุมทีมต่ออีกพักหนึ่ง
ก่อนที่จะโดนปลดหลังการแพ้วัตฟอร์ด 2-0 ในเดือนพฤศจิกายน 2021
อย่างไรก็ดีมีการพูดถึงสถานการณ์ของ เอริก เทน ฮาก กันหนาหูขึ้นเรื่อยๆ ว่าจะมีชะตากรรมในแบบเดียวกันกับ 2 ผู้จัดการทีมก่อนหน้าไหม (และอาจรวมถึง ราล์ฟ รังนิก ที่แพ้ไปอีก 4-0 ในช่วงปลายฤดูกาล) เพราะผลงานในฤดูกาลนี้ของแมนฯ ยูไนเต็ด ลงสนาม 24 นัด แพ้ไปแล้วถึง 12 นัด หรือคิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์
มีแค่ 3 ทีมในยุโรปที่แพ้มากกว่าแมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเบิร์นลีย์ ที่ลุ้นหนีตกชั้นตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งฤดูกาล
เทน ฮากยังมีข่าวว่ามีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการจัดการทรัพยากรบุคคลภายในทีม จากความตึงเกินไปจนทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้น แม้ว่าจะมีการยืนยันจากภายในทีมว่าทุกคนยังพร้อมสนับสนุนเจ้านายเหมือนเดิมก็ตาม
ทั้งนี้ยังเชื่อว่าอนาคตของกุนซือชาวดัตช์จะไม่ถูกตัดสินหรือตัดจบหากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเกมที่แอนฟิลด์ เนื่องจากแมนฯ ยูไนเต็ดอยู่ในระหว่างการผ่องถ่ายอำนาจจากครอบครัวเกลเซอร์มาสู่ เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ ว่าที่หุ้นส่วนสโมสรที่จะได้สิทธิ์ในการบริหารแลกกับการซื้อหุ้น 25 เปอร์เซ็นต์
เวลานี้ทีมของแรตคลิฟฟ์กำลัง ‘รีวิว’ สโมสรในทุกส่วน ตั้งแต่เรื่องของระบบการ Recruitment, ฝ่ายทีมแพทย์, เรื่องของศูนย์ฝึกซ้อม และแน่นอนว่ารวมถึงเรื่องผลงานของเทน ฮากด้วย ซึ่งตามรายงานข่าวล่าสุดยังวางใจให้ทำงานต่อไปเหมือนเดิม
แต่สมมติหากแมนฯ ยูไนเต็ดพ่ายแพ้ลิเวอร์พูลแบบสู้กันไม่ได้ขึ้นมา กระแสความผิดหวังจะเปลี่ยนเป็นแรงกดดันต่ออนาคตของกุนซือชาวดัตช์ได้เช่นกัน
ในทางกลับกัน หากเทน ฮากพาแมนฯ ยูไนเต็ดเซอร์ไพรส์บุกมาชนะลิเวอร์พูลได้ในสภาพทีมที่ไม่สมประกอบ (อย่าลืมว่าเขาเคยทำได้มาแล้วในฤดูกาลก่อน) ก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนของฤดูกาลได้เหมือนกัน
สุดท้ายนี้ เกมแดงเดือดเป็นเกมที่บางครั้งหลักการและเหตุผลไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าจังหวะของเกมและหัวใจ
ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอในสงครามสีแดง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ลิสต์นักเตะ แมนยู พลาดลงสนามศึก ‘แดงเดือด’ กับ ลิเวอร์พูล
- Bend it like Trent! ตำนานรองเท้าขาวลิ้นแดงที่ถูกปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง