วันนี้ (15 ตุลาคม) พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท. อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แถลงความคืบหน้าการสืบสวนการดำเนินธุรกิจของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด (The iCon Group Co., Ltd.)
พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ ระบุว่า คดีมีความคืบหน้าไปอย่างมาก ตอนนี้อยู่ในระหว่างที่พนักงานสอบสวนกำลังรวบรวมพยานหลักฐาน ในเบื้องต้นเชื่อว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดจริง แต่การจะออกหมายจับผู้ถูกกล่าวหา พนักงานสอบสวนต้องมีความรอบคอบและรัดกุมในการทำสำนวน ซึ่งจากที่เห็นผู้ถูกกล่าวหาเดินทางมาแสดงตนกับพนักงานสอบสวนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์นั้น เป็นสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา
การจะเข้าสู่กระบวนการขอออกหมายจับเป็นเรื่องของอนาคต อยู่ในระหว่างพิจารณา จากที่ดูหลักฐานเข้าข่ายความผิดการตลาดขายตรง, พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค, พ.ร.ก.กู้ยืมเงิน และฉ้อโกงประชาชน ทั้งหมดเป็นข้อหาที่เกิดจากการสอบสวน ทั้งนี้ ต้องให้เวลากับพนักงานสอบสวนในการรวบรวมพยานหลักฐานให้แน่นหนาก่อนพิจารณาความผิดกับผู้ถูกกล่าวหา
ส่วนความคืบหน้าในการสอบปากคำผู้เสียหายตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา สอบปากคำไปทั้งหมดมากกว่า 900 คน จากที่ผู้เสียหายลงทะเบียนเกือบ 1,100 คน มูลค่าความเสียหายประมาณ 400 ล้านบาท หลังจากเกิดเรื่องขึ้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำหนังสือไปให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงิน
เนื่องจากมีผู้เสียหายร้องเรียนเป็นจำนวนมาก และมูลค่าความเสียหายหลายล้านบาท เกรงว่าจะมีการถ่ายโอนทรัพย์สินไปยังบุคคลอื่น ตำรวจจึงต้องรีบให้สำนักงาน ปปง. ดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการเงิน ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะเข้าในที่ประชุมคณะกรรมการธุรกรรมในวันที่ 17 ตุลาคมนี้
ส่วนกรณีที่มีสถานีตำรวจหรือสถานีตำรวจภูธรบางที่ไม่รับแจ้งความคดีบริษัทนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหนังสือสั่งการเวียนชี้แจงทั้งประเทศไปแล้วถึง 2 ครั้ง ให้ทุกสถานีทุกพื้นที่รับแจ้งความ
จึงอยากฝากเตือนไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติตามคำสั่ง หากเกรงว่าไม่ทราบประเด็นในการสอบปากคำ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะส่งประเด็นคำถามให้กับพนักงานสอบสวนโดยตรง เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนในการเข้าแจ้งความ ไม่ให้เสียเวลาเดินทางมายังกองบังคับการปราบปราม
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่ามีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากอาจมีผลกระทบต่อคดี แต่ขอให้ไว้ใจเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินการว่าจะเอาผิดกับทุกคนที่เกี่ยวข้องไม่เว้นแม้แต่คนเดียว หากผลการสอบสวนและหลักฐานพร้อมดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านี้ รวมไปถึงธุรกิจที่เข้าข่ายขายตรงหรือแชร์ลูกโซ่
ส่วนกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียหายก่อนนั้น คิดว่าไม่มีผลกระทบต่อรูปคดีที่เกิดขึ้นมาแล้ว และเป็นสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาที่สามารถกระทำได้ แต่คดีปรากฏชัดเจนไม่สามารถยอมความได้ ก็จะต้องดำเนินไปตามขั้นตอนกฎหมาย
เมื่อถามว่า หากสุดท้ายคดีดังกล่าวไปถึงที่สุดแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาไม่ผิดอย่างที่คิดและฟ้องตำรวจกลับ มีความกังวลหรือไม่ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ ตอบว่า หากไปถึงขั้นนั้น ผู้ต้องหาจะฟ้องกลับให้ฟ้องตนคนเดียวในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุด เพราะตนเป็นผู้สั่งการ ดังนั้นตนต้องรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ ขอเตือนไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว ไม่ว่าใครก็จะต้องถูกดำเนินคดีด้วยเช่นกัน ขอยืนยันว่าไม่กลัวผู้มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ ผู้เสียหายคดีขายตรงของบริษัท ‘ดิไอคอนกรุ๊ป’ สามารถติดต่อนำหลักฐานเข้าแจ้งความได้ 3 ช่องทาง ดังนี้
- เดินทางเข้ามาแจ้งด้วยตัวเองได้ที่ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน (บก.ปคบ.) ชั้น 2 อาคารประชาอารักษ์ (ตึกกองปราบ) เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น.
- แจ้งความที่สถานีตำรวจ (สน. / สภ.) ใดก็ได้ โดยพนักงานสอบสวนจะสอบปากคำ รวบรวมความเสียหายและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ลงบันทึกข้อมูลในระบบ เพื่อให้ได้เลขแจ้งความ (Case ID) เพื่อส่งมายัง บก.ปคบ. เพื่อดำเนินการต่อไป
- แจ้งความผ่านระบบออนไลน์ทาง www.thaipoliceonline.go.th ซึ่งหลังจากนั้น พนักงานสอบสวนจะสอบปากคำ และส่งเอกสารมายัง บก.ปคบ. เพื่อดำเนินการต่อไป