ความผันผวนจากเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน และสงคราม กำลังทำให้ตลาดการเงินปั่นป่วน
Bond Yield สหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นถึง 4.5% สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีก่อน ราคาน้ำมัน WTI เพิ่มขึ้นไม่หยุดจนแตะ 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล คิดเป็นการปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 20% จากต้นปี พร้อมกับราคาทองคำที่ทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องทั้งในรูปเงินบาทและดอลลาร์
ความผันผวนเหล่านี้จะส่งผลกระทบกับการลงทุนทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นักลงทุนจึงต้องรู้ให้ทันว่าประเด็นไหนส่งผลอย่างไร คาดว่าจะอยู่กับเรานานแค่ไหน และนำไปสู่การลงทุนอะไร
ประเด็นแรก ‘การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม’ ทำให้ Yield ปรับตัวขึ้นพร้อมกับราคาน้ำมันดิบ ไม่ได้กดดันการลงทุนโดยตรง แต่ทำให้เกิดการเปลี่ยนเซ็กเตอร์ผู้นำได้
ผมมองว่าประเด็นนี้แค่กำลังเริ่มต้น เพราะดัชนีภาคอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ และจีนเพิ่งกลับมาขยายตัวเป็นเดือนแรก กำลังซื้อสินค้าโภคภัณฑ์จึงมีโอกาสไปต่อ หนุนให้ Yield ทยอยปรับตัวขึ้นได้อีก
แต่ที่การฟื้นตัวครั้งนี้ดูจะไม่บวกหรือลบกับหุ้นมาก ผมมองว่ามาจากสัดส่วนภาคอุตสาหกรรมที่ต่ำ และมุมมองว่าราคาพลังงานในรอบนี้จะไม่เพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ อีกทั้งการปรับตัวขึ้นของ Yield ก็เป็นไปอย่างช้าๆ ทำให้ตลาดมีเวลาเปลี่ยนจากกลุ่ม Defensives มาเป็น Cyclicals โดยไม่กระทบดัชนีหลัก
ประเด็นที่สอง ‘นโยบายการเงินเข้มงวด’ แต่ไม่ได้ทำให้ภาวะการเงินตึงตัว
ดัชนีชี้วัดที่ผมใช้คือ National Financial Conditions Index (NFCI) ของ Fed Chicago ล่าสุด NFCI ชี้ว่าภาวะการเงินของสหรัฐฯ ผ่อนคลายลงแม้ Yield จะปรับตัวขึ้น เหตุผลหลักมาจากระดับหนี้ของภาคเอกชนและครัวเรือนที่ลดลง พร้อมกับธนาคารพาณิชย์ผ่อนคลายเกณฑ์การกู้ยืมลงอย่างต่อเนื่อง
ในมุมมองของผม Yield ที่สูงขึ้นจากเหตุผลว่า Fed อาจไม่ลดดอกเบี้ย จึงมีโอกาสสูงขึ้นได้อีก แต่จะกดดันทองคำหรือตลาดหุ้นเมื่อไรอาจอยู่ที่ความสูงของ Real Yield ในอดีตจุดที่ต้องระวังคือ 2.5-3.0% ขึ้นไป หรือจากความคาดหวังเงินเฟ้อปัจจุบันที่ 2.4% Yield 10 ปีที่ต้องกลัวก็คือ 4.9%
ประเด็นสุดท้าย ‘ความเสี่ยงสงคราม’ ที่หนุนราคาน้ำมันและทองคำให้ปรับตัวขึ้นในช่วงนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างตลาดการเงินกับสงคราม ปกติมักเป็นความเสี่ยงระยะสั้น แต่จะส่งผลระยะยาวแค่ไหนอยู่ที่ 3 คำถาม ประกอบด้วย
1. สงครามสร้างความเสียหายต่อการผลิตหรือกำลังการบริโภคหรือไม่
- ปัจจุบันคำตอบคือ ยังไม่เห็น
2. สงครามทำให้มุมมองต่อราคาน้ำมันระยะยาวปรับตัวขึ้นหรือไม่
- ตอนนี้ถ้าวัดจาก 3-year Forward Price ของน้ำมันดิบที่ 67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ยังต่ำกว่า Spot Price คำตอบก็คือ ไม่
และ 3. สงครามกระทบนโยบายการเงินระยะยาวหรือไม่
- ผมเชื่อว่าทุกธนาคารกลางคงตอบเหมือนกันว่า ไม่ จนกว่าจะเห็นคำตอบข้อ 1 หรือ 2 เปลี่ยนไป
เมื่อคำตอบทั้งสามข้อคือ ‘ไม่’ เราจึงไม่ควรกังวลหรือเก็งกำไรกับความเสี่ยงสงครามมากเกินไป ส่วนในระยะยาวผมเชื่อว่าตลาดกำลังเปลี่ยนมุมมอง ความขัดแย้งในตะวันออกกลางเป็นความเสี่ยงวงกว้าง ราคาน้ำมันอาจลดลงช้า เมื่อเกิดขึ้นพร้อมกับการลงทุนเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างด้านพลังงานในช่วงนี้จะทำให้เงินเฟ้ออยู่กับเศรษฐกิจนานกว่าปกติ
จากมุมมองเหล่านี้ นักลงทุนไทยควรปรับการลงทุนอย่างไร
1. การลงทุนในราคาน้ำมันดิบหรือทองคำโดยตรงดีกว่าหุ้นพลังงานหรือเหมืองแร่ในระยะสั้น แต่เมื่อภาคอุตสาหกรรมฟื้น Energy และ Materials จะกลับมาดีกว่าใน 3-6 เดือน
จากความผันผวนในอดีตตั้งแต่ปี 1990 ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลง (R-Square) ของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานได้เพียง 0.3-0.4 แต่ถ้าเศรษฐกิจเป็นขาขึ้นรอบใหม่จริง ราคาหุ้น Cyclicals ที่ปัจจุบันมี Valuation ถูก จะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงไม่แพ้กัน
2. สำหรับตลาดหุ้นไทย แม้จะมีสัดส่วนหุ้นในกลุ่มพลังงานมาก แต่ในช่วงหลังดัชนีมักไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้ในช่วงที่ราคาน้ำมันแพง
ความสัมพันธ์ (Correlation) ของหุ้นไทยกับราคาน้ำมันดิบปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 0.1 ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2018 จากประเด็นเศรษฐกิจในประเทศ และทิศทางตลาดหุ้นโลก ถ้าจะลงทุนเลือกรายบริษัทที่เกี่ยวข้องจะดีกว่าซื้อทั้งตลาด
3. เมื่อการปรับตัวขึ้นของ Yield และราคาน้ำมันดิบไม่กระตุก Bond Yield ไทย เงินบาทอาจเป็นจุดอ่อนที่ต้องระวัง
ย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นปี เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ราคาน้ำมันขาขึ้นและ Yield สหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่สูงขึ้น 32bps สวนทางกับ Yield ไทยอายุ 10 ปี ที่ปรับตัวลงจาก 2.7% มาเหลือเพียง 2.5% สะท้อนว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกไม่ได้ทำให้ภาพการลงทุนในประเทศคึกคักขึ้นเลย ยิ่งถ้านักลงทุนต่างชาติมองว่าการลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยจะเกิดขึ้นแน่ ไม่ว่าตลาดจะเข้าสู่โหมดปิดรับความเสี่ยง (Risk Off) ด้วยสาเหตุไหนในอนาคต เงินบาทก็มีโอกาสอ่อนค่าลงได้อีก
วางกลยุทธ์รับมือความผันผวนในตลาดการเงินช่วงนี้ให้ดีนะครับ