The Divine Fury คือผลงานเรื่องล่าสุดที่ย้ำให้เห็นถึงพัฒนาการของหนังแนวแอ็กชัน-แฟนตาซีจากเกาหลีใต้ ต่อจาก Along with the Gods ที่ทำเงินถล่มทลายทั้งสองภาค โดยเปลี่ยนจากความเชื่อเรื่องการเดินทางในแดนนรกตามแบบตะวันออก มาเป็นแนวแอ็กชัน-ทริลเลอร์ที่ยึดโยงกับความเชื่อเรื่องการต่อสู้กับปีศาจของศาสนาคริสต์
เนื้อเรื่องหลักๆ พูดถึงเส้นทางชีวิตของยงฮู (พัคซอจุน) เด็กหนุ่มจากครอบครัวคริสเตียนที่สูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปโดยที่การสวดภาวนาใดๆ ล้วนไร้ผล ทำให้เขากลายเป็นคนที่ไม่ศรัทธาในพระเจ้าองค์ใด และต่อสู้จนได้เป็นแชมเปี้ยน MMA ด้วยความสามารถของตัวเอง
จนวันหนึ่ง รอยแผลบนฝ่ามือที่วิทยาศาสตร์การแพทย์อธิบายไม่ได้ ทำให้เขาต้องไปหาคำตอบจากบาทหลวงอัน (อันซองกี) ที่กำลังทำพิธีไล่วิญญาณแต่ไม่สำเร็จ กลายเป็นยงฮูต้องใช้พลังจาก ‘ฝ่ามือ’ ช่วยขับไล่วิญญาณนั้นไป และรับรู้ว่าพลังพิเศษนี้เป็นของ ‘พระเจ้า’ ที่เขาเคยสูญสิ้นศรัทธา ที่มอบภารกิจจัดการจอมมารจีชิน (อูโดฮวาน) นักบวชปีศาจที่ได้พลังจากวิญญาณชั่วร้าย ที่ครอบงำจิตใจมนุษย์ให้อยู่ในความมืดมิด
ความน่าสนใจอย่างแรกคือ ไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะเห็นประเด็นการตั้งคำถามการมีอยู่ของพระเจ้าจากหนังเกาหลี มีฉากที่หลายตัวละครต้องยืนอยู่ตรงกลางต้องเลือกระหว่างความรู้สึกในจิตใจ กับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีตามหลักศีลธรรม ฯลฯ
แต่เนื่องจากต้องรักษาภาพรวมของหนังแอ็กชัน-ทริลเลอร์ ทำให้การตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ไม่สามารถลงลึกได้เท่าที่ควร โดยเฉพาะประเด็นคนที่ได้รับพลังจากพระเจ้า กลับเป็นคนที่ไม่ศรัทธาในพระเจ้าแม้แต่น้อย ซึ่งเรารู้สึกว่าน่าสนใจมาก แต่มีเวลาให้อธิบายไม่นานนัก รวมทั้งเหตุผลสั้นๆ ที่โดยส่วนตัวไม่ได้ทำให้เรารู้สึกร่วมด้วยเท่าไรนัก
รวมทั้งการต้องแบ่งน้ำหนักให้กับพาร์ตดราม่า ย้อนอดีตในครอบครัวของพระเอก ฉากเรียนรู้การใช้วิชาและแลกเปลี่ยนความเชื่อกับบาทหลวงอัน การสร้างปมให้กับจอมมารจีชินที่ซ่อนตัวในคราบนักธุรกิจน่าเชื่อถือ แต่ลึกๆ พยายามครอบงำมนุษย์ให้เข้าสู่ด้านมืดเพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเอง
ทุกประเด็นมีความน่าสนใจทั้งหมด จนเรารู้สึกว่าแต่ละพาร์ตสามารถแยกเป็นหนังออกมาอีกเรื่องหนึ่งได้เลยด้วยซ้ำ แต่นั่นก็กลายเป็นจุดอ่อนของหนัง เพราะเป็นเรื่องยากมากที่จะแบ่งเวลานำเสนอประเด็นได้ครบถ้วนทั้งหมด
ผลที่ออกมาคือ เราจะได้รับรู้แต่ละพาร์ตอย่างละนิดอย่างละหน่อย ตัดสลับกันไปมาในช่วงแรกของหนัง ทำให้จุดแข็งของหนังเกาหลีที่มักจะ ‘ขยี้’ ให้ฉากเครียดก็ต้องคิดจนปวดหัว หรือถ้าจะเศร้าคนดูก็ต้องมีน้ำตา ไม่สามารถแสดงพลังของตัวเองได้เท่าที่ควร
ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงครึ่งหลัง ที่กลายเป็นพาร์ตแอ็กชันเต็มตัว ซึ่งสามารถทำได้ดีตามมาตรฐาน แต่ก็ไม่ได้ถึงกับยกให้เป็นหนังแอ็กชันที่ดีที่สุด เพราะส่วนตัวยังรู้สึกว่าการดีไซน์ฉากแอ็กชันใน Along with the Gods ทั้งสองภาคทำได้ตื่นตาตื่นใจมากกว่า แต่ถ้าดูเฉพาะการสร้างตัวละครฝั่งปีศาจเรายกให้ The Divine Fury เหนือกว่าอยู่พอสมควร
ซึ่งต้องยกเครดิตงานด้านวิชวลเอฟเฟกต์ให้ทีม Dexter Studios ที่เคยเนรมิตฉากนรกเจ็ดด่านใน Along with the Gods ได้ทั้งสวยงามและน่ากลัว หรือผลงานคิงคองยักษ์ในสนามเบสบอลจาก Mr.Go เมื่อปี 2013 ถ้าดูตามพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ บอกได้เลยว่าอุตสาหกรรมหนังเกาหลียังหากินกับหนังแนวนี้ไปได้อีกยาว
ส่วนสุดท้ายที่เราอยากพูดถึงมากที่สุด คือการคัดเลือกนักแสดงระดับเพอร์เฟกต์แพสต์ (เราคิดว่ามาตรฐานนักแสดงเกาหลีตอนนี้อยู่ในระดับสูงสุดของเอเชียแล้ว) โดยเฉพาะการพลิกบทจากบอสสุดเนี้ยบใน What’s Wrong With Secretary Kim ของพัคซอจุนที่ถึงแม้เราจะค่อนข้างขัดใจกับการ ‘ดึงหน้า’ ขมวดคิ้วอยู่บ่อยๆ แต่ก็ถือว่าเป็นการแสดงที่ครบเครื่องทั้งพาร์ตดราม่า การรับส่งมุกตลกกับอันซองกี หรือฉากแอ็กชันที่คุ้มค่ากับการลงทุนไปเรียนการต่อสู้แบบ MMA มาจริงๆ
อูโดฮวาน ก็แสดงบทจอมมารได้น่ากลัว ร้ายลึกแถมยังหล่อ เท่ มีเสน่ห์ไม่แพ้พระเอกอย่างพัคซอจุน กับอีกคนหนึ่งที่เราชอบมากๆ คือ ชเวอูชิก ที่คนไทยเพิ่งเห็นความสามารถแบบจะๆ จากบทคีวู ลูกชายคนโตจากหนังเรื่อง Parasite (เคยเล่นเป็นนักเบสบอลใน Train to Busan มาด้วย) กับบทผู้ช่วยบาทหลวง ที่จริงๆ เป็นแค่ตัวละครสมทบ แต่ทุกครั้งที่อยู่บนจอ ก็สามารถขโมยซีนจากตัวละครหลักได้แทบทุกครั้ง
ซึ่งถ้าดูตั้งแต่ต้นจนจบ จะเห็นได้ชัดว่าใน The Divine Fury มีความพยายามขยาย ‘จักรวาล’ ปีศาจภาคต่อออกมาในอนาคต เป็นโอกาสที่ดีที่หนังจะได้กลับไปขยายประเด็นที่เราพูดถึงไว้ด้านบนให้มากขึ้นกว่านี้ รวมทั้งการวางให้ตัวละครบาทหลวงของชเวอูชิกมีโอกาสได้ขึ้นมาเป็นตัวละครหลัก
ที่บอกได้ในฐานะแฟนคลับจากเรื่อง Parasite ว่าเราอยากดูมากกว่าภาคนี้เสียอีก!
ตัวอย่างภาพยนตร์ The Divine Fury
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์