แมน-ธฤษณุ สรนันท์
AGE: 26
TEAM: PEACH
NATIONALITY: THAI-DANISH
ส่วนสูง 190 เซนติเมตร บวกกับใบหน้าชวนมองที่มีส่วนผสมระหว่างตะวันออกและตะวันตก ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ชายหนุ่มคนหนึ่งกลายเป็นจุดรวมความสนใจในทุกครั้งที่ปรากฏตัว อย่างไรก็ตามชีวิตของผู้ชายวัย 26 ปีคนนี้ ไม่ได้น่าสนใจเพียงเพราะรูปที่เป็นทรัพย์เท่านั้น แต่บริบทอันหลากหลายของเส้นทางชีวิตที่ปะปนระหว่างเดนมาร์ก-กรุงเทพฯ ก็ทำให้แมนพร้อมเรียนรู้ชีวิตในสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงการก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงเกินกว่าครึ่งตัวแล้วในวันนี้ แม้จะไม่ใช่สิ่งที่สนใจมาแต่ดั้งแต่เดิมก็ตาม
คุณเป็นลูกครึ่งเดนมาร์ก
ใช่ครับ พ่อผมเป็นคนเดนมาร์ก ช่วงเด็กผมโตที่เมืองไทย เรียนโรงเรียนรัฐบาล แต่ย้ายไปเรียนที่เดนมาร์กตอนอายุ 15 ผมอยู่เดนมาร์ก 5 ปี เป็นช่วงเวลาที่ได้ประสบการณ์หลายอย่าง เพราะอยู่คนเดียว ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ผมกลับเมืองไทยตอนอายุ 20 แล้วมาเรียนด้านบริหารโรงแรมที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ตอนแรกคิดว่าชอบด้านนี้นะครับ แต่พอไปฝึกงานก็คิดว่าไม่น่าจะชอบแล้วล่ะ (หัวเราะ) ตอนนั้นผมฝึกงานในห้องอาหาร ทำงานตั้งแต่วันจันทร์ถึงเสาร์ เจ็ดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น ก็คิดว่าผมอาจจะฝันผิดอย่าง (หัวเราะ)”
ภาพที่ฝันไว้เป็นอย่างไร
อยู่ในโรงแรมสวยๆ นอนจิบค็อกเทลริมหาดสบายๆ มีสปาให้เข้า มีสระว่ายน้ำ อันนั้นคงต้องเป็น GM ก่อน แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าการทำงานจริงมันเป็นอีกอารมณ์หนึ่ง หรือจริงๆ ผมอาจจะยังไปไม่ถึงฝันก็ได้ อาจจะต้องอีกสัก 20-30 ปี
เล่าถึงตอนเข้าวงการครั้งแรกให้ฟังหน่อย คุณไม่ได้เป็นฝ่ายเดินเข้าใส่วงการ เหมือนคนที่อยากเป็นดาราส่วนหนึ่งในยุคนี้เขาทำกันใช่ไหม
ผมไปเดินจตุจักร กำลังเลือกรองเท้าอยู่ ก็มีโมเดลลิ่งมายืนรออยู่หน้าร้าน ถามผมว่าสนใจเดินแบบไหม มีค่าขนมให้นิดหน่อย 4,000-5,000 บาท ด้วยความที่ตอนอยู่เดนมาร์กผมทำงานพิเศษหาค่าขนมอยู่แล้ว พอกลับมาไทยก็ยังอยากที่จะมีงานอยู่ แต่ที่นี่ไม่ค่อยอำนวยที่เราจะไปทำงานตามซูเปอร์มาร์เก็ตเหมือนที่ต่างประเทศ คิดว่างานนี้อาจจะเป็นโอกาสดี ก็เลยลองไปทำดู แรกๆ ก็เดินมึนๆ ตาลอยๆ
มีงานแสดงด้วยใช่ไหม แต่ดูเหมือนแรกๆ คุณจะไม่ค่อยชอบงานแสดงหรือเปล่า
ก่อนหน้านี้ผมไม่ชอบ เพราะมันเหมือนเราต้องพยายามพรีเซนต์ตัวเอง เราต้องพยายามหล่อ พยายามเป็นอะไรที่คนอื่นพยายามให้เราเป็น แต่พอผมเรียนการแสดงกับครูร่ม ผมเข้าใจมากขึ้น ที่ผ่านมาผมทำพวกโฆษณาซึ่งจะต้องเร็ว กระชับ บางทีต้องทำท่าแฮปปี้ ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ แต่พอได้มาเรียน ก็ทำให้เรารู้สึกมากขึ้น เริ่มเล่นบทบาทยาวๆ ได้
คุณบอกว่างานในวงการไม่ใช่เรื่องที่สนใจมาแต่แรก พอมาเรียนการโรงแรมก็อาจจะไม่ค่อยตรงฝันแล้วในตอนนี้ ถ้าอย่างนั้นฝันของคุณตอนเด็กๆ คืออะไร
อยากเป็นนักฟุตบอลครับ เล่นฟุตบอลมาตั้งแต่ 8 ขวบ แต่พออายุ 13-14 ก็เริ่มอยากทำอย่างอื่น แล้วฟุตบอลในเมืองไทยตอนนั้นมันยังไม่บูมมากเหมือนตอนนี้ด้วย ก็เลยไม่รู้ว่าจะไปต่อทางนี้ยังไง เสียดายเหมือนกัน ไว้ชีวิตหน้า มันต้องมีสักชีวิตหนึ่ง (หัวเราะ)
ไปๆ มาๆ เหมือนชีวิตคุณจะจัดสรรให้คุณต้องเข้าสู่วงการบันเทิงจนได้
ผมเริ่มเป็นนายแบบตั้งแต่อายุ 20 แต่งานก็ไม่ได้เยอะมากมายนะครับ จริงๆ ผมไม่ชอบที่จะต้องมาประกวด ต้องมาแข่งขันออกทีวี ทีแรกเกือบจะไม่มาแล้ว ผมโทร.หาอติลาคืนก่อนที่จะไปออดิชัน อติลาบอกผมว่าจะมา และบอกว่าผมควรมา เลยคิดว่าคงต้องทำอะไรสักอย่างกับชีวิตแล้วล่ะ ไม่งั้นต้องกลับไปทำงานโรงแรม (หัวเราะ)
สิ่งที่ได้เรียนรู้อย่างไม่คาดฝันที่ได้จากการแข่งขัน
ผมมาด้วยความคิดค่อนข้างติดลบกับรายการ ผมคิดว่าผมต้องกลายเป็นตัวตลกแน่ๆ เราเคยเห็นการแข่งขันของซีซันที่แล้วในอินสตาแกรมที่เขาด่าๆ กัน ผมว่ามันโคตรไร้สาระเลย จะมาทำอะไรอย่างนี้กันทำไมวะ ตอนที่ผมตัดสินใจมา เหมือนเราพยายามเอาชนะสิ่งที่เราไม่ชอบ แต่เราต้องทำเพื่ออนาคต แต่พอได้มาเจอเพื่อนๆ มาเจอเมนเทอร์ทั้ง 3 คน ทุกอย่างมันลงตัวจริงๆ ผมได้เรียนรู้ ได้ก้าวข้ามสิ่งที่เรากลัว ก็เหมือนเราโตขึ้นอีกขั้น
คุณเป็นลูกครึ่งที่มีความเอเชีย แถมช่วงวัยรุ่นยังไปโตที่เดนมาร์กอีกด้วย คุณเคยเจอสถานการณ์ที่เข้าข่ายโดนกลั่นแกล้งบ้างไหม
ไม่มีนะครับ อาจจะเป็นเพราะผมเริ่มตัวใหญ่แล้วด้วย (หัวเราะ) ผมว่าด้วยความที่เราเป็นคนไทยด้วยมั้ง มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มันเลยอยู่ง่าย ผมอาจจะอยู่เป็นก็ได้ ผมโตเมืองไทยตั้งแต่เด็ก เคยเรียนโรงเรียนรัฐบาล มีเพื่อนเป็นเด็กแว้น เคยเป็นทหารด้วย เราก็อยู่ตรงนั้นมา เราก็อยู่ได้ รู้ว่าจะอยู่อย่างไร
ในฐานะที่คุณคลุกคลีมาแล้วทั้งเดนมาร์กและไทยคุณมองเรื่องความเท่าเทียมทางเพศระหว่างสองสังคมนี้อย่างไร
มีความแตกต่างนะครับ ที่โน่นเขาเปิดโอกาสให้ผู้หญิงแสดงความสามารถได้มากกว่า แต่ผมว่าในโลกของผู้ชายก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องกดผู้หญิงอยู่หน่อยๆ บางทีอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ผมว่ามันอยู่ในสัญชาตญาณของผู้ชายที่อยากจะเป็นผู้นำ แต่ผมว่าผู้หญิงเดี๋ยวนี้เก่งมาก ไม่มีอะไรแพ้ผู้ชายเลย ผู้หญิงมีความเข้าใจ อ่อนโยน ละเอียด
แล้วเรื่องความหลากหลายทางเพศล่ะ ระหว่างเดนมาร์กกับไทยที่คุณเห็นเป็นอย่างไร
ผมว่าเมืองไทยน่าจะยอมรับเรื่องความหลากหลายทางเพศมากกว่าที่เดนมาร์กนะ หรือว่าที่โน่นอาจจะมีไม่เยอะเท่าที่นี่ คนเขาอาจจะน้อย แต่ว่าที่โน่นเขาก็ค่อนข้างเปิดเผยกันพอสมควรนะครับ เขาจูบกันในที่สาธารณะ เมืองไทยก็มีเยอะ แต่ไม่รู้ทำไมเรามัวแต่ต่อต้านมัน ทำไมเราถึงไม่ยอมรับมันและทำให้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ทั้งที่มันคือเรื่องธรรมชาติ
เดนมาร์กเป็นหนึ่งในประเทศที่มีดัชนีความสุขสูงที่สุดในโลก มีวิถีสร้างสุขแบบ ‘ฮุกกะ’ (Hygge) ที่ดังไปทั่วโลก คุณรู้จักปรัชญานี้ใช่ไหม
รู้จักครับ จริงๆ มีหนังสืออยู่เหมือนกัน เพื่อนซื้อมาให้อ่าน แต่ใช่ คนที่นั่นเขาใช้คำว่าฮุกกะกันบ่อย
แล้ว ‘ฮุกกะ’ ของคุณเป็นอย่างไร
ฮุกกะอยู่ในทุกอย่างครับ ฮุกกะของผม จะนึกถึงรถแคมปิ้งของพ่อ ตอนผมเรียนที่เดนมาร์กก็อยู่โรงเรียนประจำ ส่วนพ่อจะอยู่ในรถแคมปิ้งที่มีเต็นท์ ตั้งอยู่ในสวนกลางธรรมชาติ บางทีไปเยี่ยมพ่อวันเสาร์-อาทิตย์ เขาก็จะทำบาร์บีคิวให้กิน เราก็จะนั่งดูหนังกันในรถแคมปิ้งเล็กๆ ข้างนอกมันหนาวแต่ข้างในมันอุ่น จุดเทียน นั่งดูหนัง กินกาแฟ คุกกี้ นี่คือฮุกกะ เหมือนเราสร้างความอบอุ่นจากอะไรเล็กๆ น้อยๆ ไม่ต้องหรูแต่ดูอบอุ่น
แล้วเมืองไทยล่ะ คุณมีช่วงเวลาฮุกกะบ้างหรือเปล่า
ที่นี่ฮุกกะก็อยู่ในหลายอย่างนะ ผมชอบความเรียบง่ายของเมืองไทย ความพอเพียงของคนบางคน อย่างแม่ค้าในตลาด ซึ่งอาจทำงานได้เงินไม่เยอะมากเท่าไร แต่เขาก็อารมณ์ดี ยิ้มให้เรา หัวเราะ มันมีเสน่ห์ เป็นความอบอุ่นที่สัมผัสได้
เรื่อง ยศยอด คลังสมบัติ, นิธินาฏ ปุโรทกานนท์
ภาพ นวลตา วงศ์เจริญ
สไตลิสต์ ฐิติกาญจน์ กาญจนภักดี
ผู้ช่วยช่างภาพ ณภัทร ศิริสินชุติเดช
ช่างแต่งหน้า บุศย์รินทร์ หวังวิศาล
ช่างทำผม หฤษฏ์ ปัญญาอ้าย
เสื้อผ้า Leisure Project Store, P.MITH
สถานที่ Sonder Living Thailand