วันนี้ (30 มิถุนายน) มีรายงานว่าเมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ นัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ พ.949/2560 โดย ฤทธิรงค์ ชื่นจิตร ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เป็นคดีแพ่ง ในข้อหาละเมิดเรียกค่าเสียหายตาม พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
คดีนี้สืบเนื่องจากกรณีที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 7 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควบคุมตัวโดยมิชอบและทำร้ายร่างกายเพื่อบังคับให้รับสารภาพในคดี ซึ่งไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด โดยโจทก์ได้ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนทางละเมิดในคดีเป็นจำนวนเงินทั้งหมด 20,800,000 บาท อันเป็นค่าความเสียหายต่อร่างกายจากการถูกทำร้ายร่างกาย ค่าเสียหายจากชื่อเสียงเกียรติยศ และ ค่าเยียวยาความเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพในร่างกาย พร้อมให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติลบล้างหรือถอนประวัติอาชญากรรมของฤทธิรงค์
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า บาดแผลตามเนื้อตัว ร่างกายโจทก์ตามผลการชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์ผู้ตรวจบาดแผล โจทก์ระบุว่า ตรวจพบกดเจ็บที่ข้อมือสองข้าง กดเจ็บที่คอด้านหลัง ไม่พบบาดแผล บาดแผลถลอกที่ท้องด้านซ้ายบน กดเจ็บที่ท้องด้านซ้ายบน ใช้เวลารักษาสามวัน ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์พบเพียง บาดแผลถลอกที่ท้องด้านซ้ายบน แต่โจทก์ก็เบิกความด้วยว่าโจทก์ถูก พ.ต.ท. วชิรพันธ์ ทำร้ายโจทก์ โดยใช้ถุงพลาสติกคลุมศีรษะและมัดรวบด้านหลังทำให้ขาดอากาศหายใจ โดยกระทำซ้ำๆ หลายครั้ง ทั้งยังใช้ถุงหลายใบครอบทับกันหลายชั้น จนขาดอากาศ มีอาการชักเกร็ง ดิ้นทุรนทุราย รวมทั้งใช้เข่ากดบริเวณลำตัวไม่ให้ดิ้นรน ทั้งข่มขู่ว่าหากโจทก์ไม่รับสารภาพ ถ้าโจทก์ตายก็จะนำไปโยนทิ้งที่เขาอีโต้ และจะเป็นเพียงคดีคนหายเท่านั้น เพียงเพื่อให้โจทก์รับสารภาพว่าได้กระทำความผิดอาญา การกระทำดังกล่าวเป็นการทรมานโจทก์ในฐานะผู้ต้องหาโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อมิให้เกิดร่องรอยบาดแผลบนตัวโจทก์ และเป็นการปกป้องตนเองให้พ้นจากความรับผิดตามกฎหมาย ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกฎบัตรสหประชาชาติที่ประเทศไทยเป็นภาคี ส่งผลกระทบต่อสิทธิผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และกระทบกระเทือนต่อกระบวนการยุติธรรม
แม้โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานแสดงให้เห็นว่าโจทก์เสียหายเป็นจำนวนเท่าใด แต่ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคหนึ่ง โดยพิจารณาว่า พ.ต.ท. วชิรพันธ์ เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ต้องดำเนินการภายใต้กฎหมาย แต่กลับปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย วิธีปฏิบัติต่อผู้ต้องหาโดยการละเมิดสิทธิผู้ต้องหา และการชดเชยค่าเสียหายเป็นหน้าที่ของรัฐพึงกระทำ เห็นควรกำหนดค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 1 ล้านบาท เพื่อสมแก่เหตุที่โจทก์ทุกข์ทรมาน และเป็นเยี่ยงอย่างสำหรับป้องกันไม่ให้กระทำความผิดลักษณะนี้อีกในภายภาคหน้า
สำหรับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายต่อชื่อเสียง เกียรติยศ โจทก์เบิกความว่า ภายหลังเกิดเหตุคดีนี้ โจทก์ถูกพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธร (สภ.) อำเภอเมืองปราจีนบุรี ดำเนินคดีฐานวิ่งราวทรัพย์ ซึ่งเป็นผลโดยตรงมาจากการที่โจทก์ต้องรับสารภาพเนื่องจากถูกทำร้ายร่างกาย ซ้อมทรมานให้รับสารภาพ ทำให้โจทก์ต้องมีประวัติอาชญากรรมติดตัวมาจนถึงปัจจุบัน เสื่อมเสียชื่อเสียง เกียรติยศ โจทก์ขอค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 1 ล้านบาท
นอกจากนี้ โจทก์เบิกความขณะเกิดเหตุปี 2552 อายุเพียง 18 ปี กำลังศึกษาอยู่ มัธยมศึกษาปีที่ 5 ควรจะได้มีการศึกษาที่ดีและมีโอกาสทำงานที่ดี แต่กลับถูกแจ้งความกล่าวหาและกลั่นแกล้งฟ้องดำเนินคดีให้เสี่ยงต้องติดคุกติดตะรางพร้อมประวัติอาชญากรรม
โจทก์เคยได้รางวัลนักเรียนดีเด่นจากโรงเรียนดนตรีสยามกลการปราจีนบุรี และโจทก์เคยพยายามศึกษาเล่าเรียนเพื่อสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานแสดงให้เห็นว่าโจทก์เสียหายเป็นจำนวนเท่าใด ศาลมีอำนาจกำหนดให้ตามที่เห็นสมควร โดยพิจารณาระดับการศึกษา โอกาสในการประกอบอาชีพ รายได้ที่จะได้รับในแต่ละเดือน และผลเสียหายที่เกิดขึ้นจากการตกเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เห็นควรกำหนดค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 3 แสนบาท
สำหรับค่าสินไหมทดแทนเพื่อเยียวยาความเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพในร่างกายของโจทก์นั้น โจทก์เบิกความว่า การถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวและทำร้ายร่างกายโดยทรมานและทารุณโหดร้าย เป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง รัฐจึงต้องตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และชดใช้เยียวยาในความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ เป็นเงินในจำนวนที่พอจะถือว่าได้รับมาตรการเชิงลงโทษ อันเกิดจากการละเมิดต่อร่างกายของบุคคล เพื่อรัฐได้ปรับปรุงแก้ไข กำกับดูแล วางมาตรการป้องกัน และพัฒนาเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐมิให้เกิดเหตุการณ์ละเมิดต่อบุคคลใดๆ ดังเช่นกรณีนี้อีกต่อไป โจทก์ขอค่าเยียวยาความเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพในร่างกายเป็นเงิน 5 ล้านบาทนั้น ความเสียหายที่โจทก์ขอมาเป็นความเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพในร่างกายของโจทก์ แต่โจทก์กลับอ้างถึงการทำร้ายร่างกายโดยทรมานและทารุณโหดร้าย อันเป็นความเสียหายต่อร่างกายซึ่งศาลกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์แล้วจึงเป็นการซ้ำซ้อน
ทั้งได้ความว่าโจทก์ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่มีผลการตรวจ ปัสสาวะโจทก์แล้วไม่พบสารเสพติด เจ้าพนักงานตำรวจจึงปล่อยตัวโจทก์จากกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธร (สภ.) จังหวัดปราจีนบุรี มาพบพนักงานสอบสวนที่ สภ.ปราจีนบุรี เห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายให้เป็นเงิน 8 หมื่นบาท
สำหรับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายทางจิตใจ และค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงินเป็นเงิน 5 ล้านบาทนั้น โจทก์เบิกความว่าขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นเพียงผู้เยาว์ แต่ต้องมาประสบพบเจอเหตุการณ์อันเลวร้ายจากการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัว และร่วมกันทำร้ายร่างกายโดยวิธีซ้อม ทรมาน และทารุณโหดร้าย โจทก์ตกอยู่ในอาการหวาดกลัว หวาดผวาและหวาดระแวงมาจนถึงปัจจุบัน และต้องติดอยู่ในจิตใจของโจทก์ตลอดไป ทำให้โจทก์ต้องเข้ารับการตรวจและรักษาทางด้านจิตเวชโดยผู้เชี่ยวชาญของสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์
เห็นว่าความเสียหายทางจิตใจถือเป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 โจทก์มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ได้
เมื่อพิเคราะห์ถึงว่าขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นนักเรียน ภายหลังเกิดเหตุโจทก์เริ่มเข้ารับการตรวจกับทางสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ โดย นพ.อภิชาติ แสงสิน จิตแพทย์เจ้าของไข้โจทก์ ร่วมกับทีมสหวิชาชีพได้รวบรวมประวัติทั่วไป ประวัติการเจ็บป่วยโจทก์ ตรวจสภาพจิต และทดสอบทางด้านจิตวิทยา แล้วทำรายงานผลการตรวจ วินิจฉัยทางนิติจิตเวชระบุว่า พบว่าโจทก์มีอาการหวาดระแวง มีความเครียดภายหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ซึ่งเป็นโรคที่จัดอยู่ในกลุ่มโรควิตกกังวลชนิดหนึ่ง ซึ่งส่งผลต่อการเรียน การเข้าสังคมของโจทก์ และได้ความจาก นพ.อภิชาติเบิกความว่า ขณะที่โจทก์เข้ารับการตรวจ โจทก์ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันยังพบความหวาดกลัวและความเครียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่โจทก์เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวและทำร้ายร่างกายอยู่ มีอาการนอนไม่หลับ เครียดจากการได้เห็นเหตุการณ์หรือข่าวเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายร่างกายผู้ต้องหาหรือบุคคลที่ถูกควบคุมตัว โจทก์มีอาการหวาดกลัวและหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ตนเคยประสบอยู่ จนโจทก์เกิดความท้อแท้ ไม่กล้าออกจากบ้าน ต้องห่างบิดามารดาตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบันโจทก์ยังต้องได้รับการรักษาเพื่อเยียวยาและฟื้นฟูจิตใจอย่างต่อเนื่อง อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์ต้องทนทุกข์ทรมานทางกายและทางจิตใจเป็นเวลานาน โรคเครียดอย่างรุนแรงหลังประสบเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (PTSD) ของโจทก์มิใช่เป็นความรู้สึกอันเกิดจาก ภาวะทางอารมณ์ที่ปกติ แม้อาการของโจทก์เกิดขึ้นภายหลังจากเกิดเหตุมาแล้วเป็นเวลา 6 ปีก็ตาม แต่แพทย์ก็วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ป่วยเป็นโรคเครียดอย่างรุนแรงหลังประสบเหตุการณ์สะเทือนขวัญ
จึงเป็นผลโดยตรงจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ในสังกัดของจำเลย เมื่อพิจารณาประกอบพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว เห็นควรกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ 2 ล้านบาท โดยค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ศาลไม่จำต้องคำนึงถึงฐานะและรายได้ของผู้เสียหายแต่อย่างใด รวมเป็นค่าสินไหมทดแทนทั้งสิ้นเป็นเงิน 3,380,000 บาท และโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยได้นับแต่เวลาที่ทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ส่วนคำขอที่ให้จำเลยลบล้างหรือถอนประวัติอาชญากรรม เห็นว่าที่โจทก์ถูกดำเนินคดีในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ก็เนื่องจาก เพ็ญศิริ สำเภาทอง เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับโจทก์ พนักงานสอบสวนจึงต้องดำเนินคดีกับโจทก์ไปตามอำนาจหน้าที่ ต่อมาพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องโจทก์ การดำเนินคดีกับโจทก์จึงสิ้นสุดลง เมื่อมีการแจ้งคำสั่งที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องโจทก์ไปยังจำเลยแล้ว จำเลยโดยกองทะเบียนประวัติอาชญากรมีการดำเนินการคัดแยกแผ่นลายพิมพ์นิ้วมือ และเอกสารที่เกี่ยวข้องทุกประเภทแยกออกจากสารบบหรือฐานข้อมูลประวัติอาชญากร เพื่อจัดเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในทางราชการแล้ว
โจทก์ไม่ใช่อาชญากรและไม่มีประวัติเป็นอาชญากร กรณีนี้จึงไม่มีข้อมูลที่ระบุว่าโจทก์เป็นอาชญากร กรณีของโจทก์ไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะลบล้างหรือทำลายประวัติอาชญากรที่โจทก์จะขอให้จำเลยลบล้างหรือถอนประวัติของโจทก์ได้
สำหรับลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ก็เป็นวิธีปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเพื่อใช้เป็นข้อมูล ซึ่งไม่ว่าผู้ใดถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดก็จะต้องถูกจัดเก็บลายพิมพ์นิ้วมือทุกคน และแม้ว่าในที่สุดพนักงานอัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้องหรือถูกฟ้อง แต่ศาลพิพากษายกฟ้อง ก็จะไม่มีการลบข้อมูลเกี่ยวกับลายพิมพ์นิ้วมือ ทั้งนี้ ก็เพื่อประโยชน์ของทางราชการ หาใช่เพื่อกลั่นแกล้งผู้ใด ดังนั้นปัจจุบันโจทก์ไม่มีประวัติอาชญากรแล้ว
พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,380,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 มกราคม 2552 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก