เช้าวันจันทร์ที่ 15 มกราคม ผู้คนต่างมุ่งหน้าออกเดินทางสู่ออฟฟิศเพื่อไล่ล่าเป้าหมายในชีวิตตามทางของตนเอง แต่เมื่อเราหยิบมือถือขึ้นมาดูระหว่างที่กำลังเดินทางอยู่บนรถไฟฟ้า สิ่งที่เห็นเต็มโลกโซเชียลมีเดียคือสโมสรที่มีชื่อว่า ‘ลิเวอร์พูล’
ส่วนหนึ่งมาจากแฟนคลับของลิเวอร์พูลในประเทศไทยมีจำนวนมาก แต่อีกส่วนหนึ่งเชื่อว่ามาจากสิ่งที่สโมสรแห่งนี้สามารถทำสิ่งที่ทีมอื่นไม่สามารถทำได้มาก่อนในฤดูกาลนี้ นั่นคือการจมเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้
โดยก่อนหมดเวลา ลิเวอร์พูลขึ้นนำก่อนถึง 4-1 ก่อนจะที่จบเกมด้วยสกอร์ 4-3 ไปอย่างสุดมัน และก้าวขึ้นมารั้งอันดับที่ 3 ในตารางพรีเมียร์ลีก ไล่จี้คอหอยคู่อริอีกหนึ่งทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยมีคะแนนเท่ากันที่ 47 แต้ม ต่างกันแค่ผลต่างประตูได้เสียที่ปีศาจแดงมีมากกว่า 3 ลูก
ค่ำคืนที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟิลด์ต้อนรับการมาเยือนของยักษ์ใหญ่ประจำฤดูกาล 2017-2018 โดยก่อนเกมนั้น หลายคนมองว่าเกมนี้เป็นความท้าทายครั้งสำคัญของเจอร์เกน คลอปป์ กุนซือชาวเยอรมัน ที่ต้องจัดทัพ 11 คนแรกโดยไร้คนสำคัญอย่างฟิลิปป์ คูตินโญ เป็นครั้งแรก และต้องลงสนามพบกับทีมที่สมบูรณ์อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เรือใบที่พร้อมแล่นเข้าสู่แชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้อย่างไร้คู่ต่อกร
เริ่มต้นเกม นักเตะของลิเวอร์พูลออกสตาร์ทด้วยพละกำลังมหาศาล โดยในแดนกลาง คลอปป์เลือกใช้ไวจ์นัลดุม, เอ็มเร ชาน และอเล็กซ์ ออกซ์เลด-เชมเบอร์ลิน ในการบีบเกมในแดนกลางและสร้างสรรค์เกมรุกด้วยความเร็วและพละกำลัง ซึ่งทั้งสามคนก็ทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะในนาทีที่ 74 ซึ่งแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ็กซ้ายทีมชาติสกอตแลนด์ วัย 23 ปี ของลิเวอร์พูล วิ่งไล่พาสซิงนักเตะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึง 5 คนในจังหวะเดียวกัน ก่อนจะทำฟาวล์นิโคลัส โอตาเมนดิ
รวมถึงโรแบร์โต เฟอร์มิโน ศูนย์หน้าชาวบราซิลที่ช่วยไล่บอลในแดนหน้าจนทำให้เอแดร์สัน ผู้รักษาประตูของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องออกบอลยาวตลอด แล้วก็เป็นกองกลางและกองหลังของลิเวอร์พูลที่สามารถตัดบอลได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่การประสานงานของซาดิโอ มาเน และโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่พวกเขาทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยม โดยมาเนยิงประตูสุดสวยแม้จะใช้เท้าข้างที่ไม่ถนัด และซาลาห์ แม้ว่าในเกมนี้จะถูกประกบอย่างหนัก แต่ก็สามารถรักษามาตรฐานด้วยการยิงหนึ่ง และจ่ายให้เพื่อนยิงอีกหนึ่งลูก
ในนาทีที่ 9 ลิเวอร์พูลก็ได้ประตูขึ้นนำก่อนจากลูกยิงเลียดสุดสวยของออกซ์เลด-เชมเบอร์ลิน แต่ก่อนที่จะหมดครึ่งแรก ‘ว่าที่แชมป์พรีเมียร์ลีก’ ก็ไม่ยอมเสียหน้า ยิงประตูตีเสมอได้ในนาทีที่ 40 จากลูกยิงของเลรอย ซาเน ทำให้ครึ่งแรกจบลงที่สกอร์ 1-1
ในช่วงครึ่งหลัง พลังแห่งความมุ่งมั่นของลิเวอร์พูลยังไม่หมดลง เมื่อพวกเขายิงได้อีก 3 ประตูในเวลาเพียง 9 นาที ทำให้ความคาดหวังและความหวาดกลัวที่หลายทีมมีต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนซิตี้จะทวงคืนศักดิ์ศรีของทีมที่ยังไม่แพ้ใครมาตลอดฤดูกาลด้วยการยิงไล่ขึ้นมาเป็น 3-4 แต่สุดท้ายกรรมการเป่านกหวีดหมดเวลา ลิเวอร์พูลก็เป็นทีมที่สามารถเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้เป็นทีมแรกของฤดูกาลนี้
หลังจบการแข่งขัน เจอร์เกน คลอปป์ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ไม่ใช่เพียงแค่เขาดีใจกับผลการแข่งขันเท่านั้น แต่เขายังรู้สึกดีใจในมุมมองของแฟนบอลที่มีโอกาสได้เห็นเกมคุณภาพระดับสูง
“ให้ผมมองเกมนี้ในฐานะแฟนบอล มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อมาก 20 ปีต่อจากนี้ คุณจะพูดถึงแชมป์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2017-2018 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แพ้แค่เกมเดียว เพราะดูเหมือนพวกเขาจะไม่แพ้อีกแล้ว
เมื่อคุณผสมสิ่งที่เรียกว่าศักยภาพเข้ากับทัศนคติ คุณก็จะได้เห็นเกมแบบนี้แหละ
“ถ้าใครได้เห็นเกมนี้แล้วจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงมีเสน่ห์ เพราะเกมแบบนี้ยังเกิดขึ้นได้ แม้ที่ผ่านมาหลายๆ คนจะพูดถึงการซื้อขายนักเตะและเงินทุนในการทำทีม แต่สุดท้ายแล้ว เสน่ห์ของเกมคือการเอาใจของคุณใส่มันลงไปสนาม และเล่นให้เหมือนที่ทั้งสองทีมเล่นในคืนนี้”
284 วันมาแล้วที่ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอลา ไม่ได้สัมผัสกับความพ่ายแพ้ในพรีเมียร์ลีก แต่ผลการแข่งขันนัดนี้เราไม่ได้จะมาบอกว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะหลุดฟอร์มและพลาดแชมป์ เนื่องจากเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก แม้กระทั่งเจอร์เกน คลอปป์ ก็ยอมรับว่านี่เป็นเพียงเกมเดียวที่พวกเขาจะแพ้ในฤดูกาลนี้
แต่เช่นเดียวกัน เกมนี้ก็อาจจะเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่าลิเวอร์พูลสามารถทำผลงานได้ดีโดยไม่มีคูตินโญ แต่หนทางสู่ความสำเร็จในการแข่งขันในพรีเมียร์ลีกนั้นยังอีกยาวไกล ทำให้แฟนบอลคงต้องรอลุ้นและให้กำลังใจทีมให้สามารถดึงพละกำลังและเล่นแบบที่คลอปป์ตั้งชื่อว่า Pressing from the other planet ให้ได้ในเกมสำคัญที่เหลือของฤดูกาลนี้
แต่บทเรียนสำคัญที่เราได้จากเกม 90 กว่านาทีเมื่อคืนวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา นั่นคือฟุตบอลหรือชีวิตเรานั้นคือการอยู่เพื่อเรียนรู้ที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ลิเวอร์พูลแสดงให้เห็นแล้วว่าแม้จะเพิ่งเสียผู้เล่นตัวหลักของทีม พร้อมกับต้องพบกับทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในลีก พวกเขาก็สามารถผ่านมาได้ด้วยความเชื่อมั่นในชัยชนะและความทุ่มเทที่สามารถทดแทนศักยภาพที่หายไปของทีมได้
Photo: AFP
อ้างอิง: