เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 3 เป็นโจทก์ฟ้อง สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริหารบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เป็นจำเลย ซึ่งเป็นน้องชายของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อจูงใจให้กระทำการและประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ และเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อจูงใจให้กระทำการหรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ และได้กระทำไปในฐานะเป็นผู้แทนนิติบุคคลและเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคล
กรณีสกุลธรมีพฤติการณ์กระทำผิด ติดสินบนเจ้าพนักงานและนายหน้าเป็นเงินจำนวน 20 ล้านบาท เพื่อเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์จำนวน 2 แปลงในซอยร่วมฤดีและย่านชิดลม
ศาลพิพากษาว่า สกุลธรมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 ประกอบมาตรา 84 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/5 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน
ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 ประกอบมาตรา 84 เพียงบทเดียว จำคุก 8 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ให้ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 1 ใน 4 คงจำคุก 6 เดือน
ล่าสุดวันนี้ (21 พฤษภาคม) สกุลธรมีเอกสารชี้แจงระบุหัวข้อว่า ‘ผมเป็นผู้แจ้งเบาะแสทุจริต แต่กลับกลายเป็นผู้ต้องหาคดีทุจริต?’
สืบเนื่องจากคดีการทุจริต ซึ่งเกิดขึ้นกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตามที่ปรากฏในข่าวเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 โดยมีผมเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นจำเลยในคดีนี้
ผมขอชี้แจงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว ดังนี้
- ผมและคณะทำงานในขณะนั้นได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยได้ดำเนินการเป็นไปตามระเบียบและขั้นตอนตามกฎหมายตามที่เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ ได้แจ้งกับผมและทีมงานทุกประการ
แต่ต่อมาภายหลัง ผมทราบว่าเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวได้หลอกลวงผมด้วยการปลอมแปลงเอกสารของสำนักงานทรัพย์สินฯ
- เมื่อผมทราบว่าถูกเจ้าหน้าที่คนนี้หลอก ก็แสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยรีบแจ้งข้อเท็จจริงถึงเรื่องดังกล่าวไปยังสำนักงานทรัพย์สินฯ จนเป็นเหตุทำให้สำนักงานทรัพย์สินฯ ดำเนินคดีอาญากับบุคคลนี้ จนศาลพิพากษาลงโทษเขาพร้อมกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง และคดีถึงที่สุดไปแล้ว
- ระหว่างสอบสวนคดีดังกล่าวในช่วง พ.ศ. 2562 ผมยังเคยได้รับเชิญไปให้การในฐานะผู้เสียหายจากกรณีดังกล่าวด้วย แต่เนื่องจากในขณะนั้นผมติดภารกิจสำคัญอยู่ที่ต่างประเทศ จึงไม่ได้ไปให้การเป็นพยานกับพนักงานสอบสวน
- ในช่วงระหว่างการดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่หลอกลวงและปลอมแปลงเอกสารสำนักงานทรัพย์สินฯ กลุ่มนี้ ตั้งแต่ในชั้นสอบสวนกระทั่งถึงในชั้นศาล พนักงานสอบสวนไม่เคยดำเนินคดีใดๆ กับผมทั้งสิ้น
- แต่หลังจากนั้นกลับมี ‘นักร้อง’ ไปร้องให้ดำเนินคดีผม หาว่าผมรู้เห็นเป็นใจกับบุคคลนี้ และเป็นผู้ใช้ให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวไปกระทำการทุจริต
- ผมขอตั้งคำถามให้ทุกท่านลองพิจารณาด้วยใจเป็นธรรมว่า หากผมมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดดังกล่าวจริงแล้ว เหตุใดผมจะต้องวิ่งไปแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการหลอกลวงดังกล่าว เพื่อให้ตัวเองเดือดร้อนถูกดำเนินคดีไปด้วย?
ผมคือผู้เสียหายจากการหลอกลวงของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ใช่จำเลย การที่ผมเป็นผู้เริ่มคดีขึ้นเสียเองด้วยการแจ้งเบาะแสการทุจริตไปยังสำนักงานทรัพย์สินฯ ก็เพราะไม่อยากให้สำนักงานทรัพย์สินฯ ได้รับความเสื่อมเสียจากการที่มีบุคลากรแอบแฝงกระทำการหลอกลวงผู้อื่นเช่นที่ผมพบเจอด้วยตนเอง
“ผมเคารพในคำพิพากษาของศาลชั้นต้น แต่ผมขอใช้สิทธิต่อสู้คดีจนถึงที่สุด และพร้อมที่จะชี้แจงข้อเท็จจริง เพื่อพิสูจน์ความสุจริตใจของผมตามครรลองของกระบวนการยุติธรรมต่อไป”