วันนี้ (8 กรกฎาคม) ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน บริเวณชั้น 1 รัฐสภา เกียกกาย ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ก่อนการเข้าร่วมประชุมในนัดเเรกว่า ตนขอบคุณสื่อมวลชน และดีใจที่ตนได้มีโอกาสเข้ามารัฐสภาอีกครั้ง ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยตนจะทำหน้าที่กรรมาธิการอย่างเต็มที่ ในการพิจารณางบประมาณซึ่งคือภาษีของประชาชนให้มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุด
ธนาธรกล่าวว่า ตั้งแต่การออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงินทั้ง 3 ฉบับของรัฐบาล และเงินที่รัฐบาลนำมาเยียวยาเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูประเทศ ในการช่วยเหลือ SMEs และพยุงหุ้นกู้ จำนวน 1.9 ล้านล้านบาท รวมถึงงบประมาณ 3.3 ล้านล้านบาทของงบประมาณปี 2564 เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ เพราะเนื่องจากปัจจุบันเรากำลังเผชิญวิกฤตสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เราไม่มีทางรู้ว่าจะจบเมื่อไร และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอยู่ในภาวะที่ย่ำแย่ ดังนั้น การใช้งบประมาณทุกบาททุกสตางค์ที่เป็นภาษีของประชาชน จำเป็นต้องใช้ให้มีประสิทธิภาพ เนื่องจากทรัพยากรมีอยู่จำกัด ในภาวะวิกฤตแบบนี้หากเราใช้งบประมาณแบบเดิมเหมือนไม่มีวิกฤตไม่ได้
พร้อมระบุว่าสิ่งหนึ่งที่กังวลในรอบหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็คือกรอบการพิจารณาทำงบประมาณปี 2564 เหมือนเดิมเหมือนกับปี 2563 และเหมือนเดิมเหมือนกับปี 2562 เลย ทั้งๆ ที่โจทย์เดิมยังไม่ได้รับการแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่ถดถอย ขีดความสามารถในการเเข่งขันของประเทศที่ดูเเล้วมีเเนวโน้มน้อยลง และมีปัญหาใหม่เข้ามาด้วย นั่นก็คือปัญหาโควิด-19 แต่เรากลับไม่ใช้โอกาสนี้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงบประมาณ ที่จะทำให้ประเทศของเรารับมือกับโควิด-19 ได้ ที่จะทำให้ประเทศของเราเดินไปข้างหน้าได้ ดังนั้นนี่คือสิ่งที่เป็นกังวล รวมถึงมีงบประมาณหลายส่วนที่ตนเห็นว่าไร้ประสิทธิภาพ และไม่ตอบสนองต่อสภาวการณ์ในปัจจุบัน ตนเชื่อว่าการที่ตนและพรรคก้าวไกลได้มาทำหน้าที่ในกรรมาธิการ จะเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เสนอแนะกับเพื่อนกรรมาธิการที่เสนอจากพรรคการเมืองอื่น ซึ่งตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อเสนอแนะของเราจะได้รับฟังจากผู้มีอำนาจ เพราะเราเชื่อว่าการใช้งบประมาณตามแบบที่เสนอมา ในวาระที่ 1 นั้น ไม่ทำให้ประเทศไทยไปไกลกว่านี้ได้ และจะเป็นภาระของลูกหลาน
สำหรับเงิน 1.9 ล้านล้านบาทที่ออกจาก พ.ร.ก. กู้เงิน รวมกับเงินกู้อีกประมาณ 6 แสนล้านบาท ในงบประมาณปี 2564 ที่เป็นเงินกู้ในตัวมันเอง ไม่ใช่เรื่องผิด เงินกู้โดยตัวมันเองไม่ใช่เรื่องไม่ดี เงินกู้ถ้าเกิดว่ากู้เเล้วเอามาใช้ลงทุนที่สร้างสรรค์ ที่ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ เงินกู้ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่ถ้าเงินกู้เมื่อกู้มาแล้ว เอามาใช้โดยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุด เอามาใช้เบี้ยหัวแตก ไม่ได้สร้างงาน สร้างอุตสาหกรรมใหม่ เงินกู้นี้จะเป็นภาระให้กับคนรุ่นต่อไป เงินกู้คือการดึงเงินอนาคตมาใช้ และสิ่งที่เราเห็นก็คือไม่ว่าจะเป็นเงินกู้จาก พ.ร.ก. กู้เงิน เงินกู้เยียวยาประชาชน 1 ล้านล้านบาท หรือเงินกู้ในงบประมาณ 2564 อีก 100,000 กว่าล้านบาท ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยไปไหน และเงินกู้นี้เป็นภาระกับลูกหลานในอนาคต
ธนาธร ยกตัวอย่างวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ที่รัฐบาลกู้เงินมาจำนวนประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท เพื่ออุดระบบธนาคารให้ไปต่อได้ เมื่อผ่านมาเเล้ว 23 ปี เราจ่ายเงินต้นไป 400,000 กว่าล้านบาท ยังเหลือเงินต้นอีก 800,000 ล้านบาท นั่นคือ 23 ปีที่ผ่านมาเงินกู้จากวิกฤตปี 2540 ยังจ่ายไม่หมดมาจนถึงทุกวันนี้ แล้วยังมาเบียดบังภาระงบประมาณปัจจุบัน เพราะดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายปีต้นๆ ประมาณ 60,000-70,000 กว่าล้าน และจะตกเป็นภาระของนักศึกษาที่จะเข้าสู่เเรงงานในอนาคต ที่จะต้องแบกรับภาระดังกล่าว
ส่วนกรณีพรรคก้าวไกล เสนอชื่อตนเป็นกรรมาธิการวิสามัญ แล้วมี ส.ส. พรรคพลังประชารัฐเห็นว่าไม่เหมาะสม และจะยื่นให้สภาตรวจสอบคุณธรรม จริยธรรมนั้น ธนาธรกล่าวว่า คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของกลุ่มบุคคลที่ไม่เห็นด้วย และมีความไม่พอใจในเรื่องนี้ไปดำเนินการ ตนเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่เราทำไม่ได้มีอะไรที่ผิดกฎหมาย และไม่จำเป็นหากใครจะนำไปเทียบเคียงกับกรณีบุคคลที่โดนตัดสิทธิทางการเมืองในอดีต
“สิทธิที่เราถูกตัดไป คือสิทธิลงรับสมัครเลือกตั้ง สิทธิในการเป็นสมาชิกพรรค แต่สิทธิในฐานะพลเมืองไม่ได้ถูกตัดไป พวกเรายังมีสิทธิเต็มในฐานะพลเมืองที่จะแสดงออกทางความคิดเห็น ทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ทางสังคม ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจ สิทธิในฐานะพลเมือง”
ทั้งนี้ ธนาธรกล่าวถึงแนวทางการขับเคลื่อนในการสรรหาผู้สมัครลงแข่งขันเลือกตั้งท้องถิ่นในนามของคณะก้าวหน้าว่า การเมืองท้องถิ่นต่างกับการเมืองระดับชาติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ต้องมาจากพรรคการเมือง จะลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ต้องสังกัดพรรคการเมือง แต่จะลงสมัครในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ก็ดี นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบลก็ดี ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง พวกเราคณะก้าวหน้าจึงชักชวนบุคคลที่มีเป้าประสงค์อยากเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาช่วยกันทำงาน ไม่ต้องให้คนอื่นทำงาน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด ที่ท่านไม่จำเป็นจะต้องเป็นลูกหลานของนักการเมือง เป็นคนมีนามสกุลใหญ่โต มีชื่อเสียงเงินทอง เอาคนธรรมดามาเป็น มาร่วมเปลี่ยนแปลงทางการเมืองร่วมกัน ในนามของคณะก้าวหน้าที่ไม่ใช่เป็นพรรคการเมือง
“นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดนะครับ เราไม่ได้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นมาแล้วมากกว่า 7 ปี บางแห่งถึง 10 ปีด้วยกัน ถ้าจะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ไม่ต้องรอให้เลือกตั้งระดับชาติอีกครั้ง เปลี่ยนแปลงประเทศเริ่มได้ที่บ้านเกิดของตนเอง เริ่มได้ที่การเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะมาถึง ผมขอชักชวนทุกคนครับ ที่เบื่อและทนไม่ไหวกับการที่บ้านเกิดของตนเองไม่ได้รับการพัฒนา อยากจะลุกขึ้นมาพัฒนาบ้านเกิดของตนเอง ใช้โอกาสนี้มาทำงานร่วมกับพวกเรา” ธนาธร กล่าวในที่สุด
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์