×

“อนุทินคือคำตอบ” คุยกับ ไต๋ ธนกิจ รุ่นใหม่ภูมิใจไทย กับโจทย์ผู้นำที่ประเทศต้องการ

30.10.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 MINS READ
  • จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของประเทศไทย ทักษะการประนีประนอม  (Compromise) และการสร้างความสัมพันธ์กับต่างชาติ คือสิ่งที่นายกฯ ต้องมี สำหรับไต๋แล้ว อนุทิน ชาญวีรกูล คือคนที่มีคุณสมบัติ
  • หลังเลือกตั้ง ความขัดแย้งจะยุติไหม ไต๋เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องที่คนเพียงคนเดียวจะตอบได้ว่ามันจะยุติไหม เพราะมันไม่ได้เกิดจากคนเพียงคนเดียว แต่เกิดจากหลายๆ กลุ่มคน หากกลุ่มคนเหล่านี้คุยกันได้ ความขัดแย้งจะลดน้อยลง
  • ไต๋พร้อมลงสนามการเมืองเพื่อพัฒนาสระบุรี ด้วยเศรษฐกิจเมืองท่องเที่ยว แม้ต้นทุนการเมืองของไต๋เป็นศูนย์ แต่เชื่อว่าถ้าปลดล็อก ได้ลงพื้นที่ ไม่ถูกปิดกั้น ก็มีโอกาสไม่แพ้กับคนอื่น

ไต๋-ธนกิจ เทียมบุญชัยทวี อีกหนึ่งคนรุ่นใหม่ที่ต้นทุนทางการเมืองเป็นศูนย์ เขาจบการศึกษาจากพิบูลวิทยาลัย เป็นบัณฑิตเศรษฐศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) จากรั้วจุฬาฯ ขณะนี้กำลังศึกษาปริญญาโทในสาขาและมหาวิทยาลัยเดียวกัน

 

ไต๋มีอายุครบ 26 ปีพอดี ใหม่มากกับสนามการเมือง ผ่านการเลือกตั้งมาไม่กี่ครั้งในชีวิต

 

สำหรับสนามการเมืองสระบุรี ในวันที่การเมืองยังถูกย้ำให้จดจำว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจ คอร์รัปชัน หวังฉกฉวยผลประโยชน์

 

ไต๋คือคนที่กล้าก้าวเข้ามาเสนอเป็นตัวเลือก แต่การพิสูจน์ตัวตนคนรุ่นใหม่ยังมีอีกหลายด่าน การสังกัดค่ายภูมิใจไทยก็ต้องปะทะกับข้อครหาของการเป็นพรรคขนาดกลาง

 

แล้วทำไมไต๋ยังเลือกภูมิใจไทย

 

ยิ่งกว่านั้นสนามของไต๋คือสระบุรี ซึ่งมีนักการเมืองดังๆ อยู่มาก สำหรับหน้าใหม่ นอกจากแบรนด์และนโยบายของภูมิใจไทย จะเอาอะไรไปแข่ง

 

ไต๋ตอบว่า แม้ต้นทุนทางการเมืองเป็นศูนย์ หากไม่ถูกปิดกั้นการลงพื้นที่ให้ประชาชนได้รู้จัก เขาเชื่อว่าก็มีโอกาสไม่น้อยกว่าคนอื่น เพราะเขามุ่งเป็นทางเลือกใหม่ให้คนสระบุรี เพื่อพัฒนาสระบุรีสู่เมืองท่องเที่ยว เมืองท่องเที่ยวจะขยับเศรษฐกิจขึ้นไปได้อีกระดับ ซึ่งสระบุรีแม้เป็นเมืองอุตสาหกรรมแต่ก็มีอัตลักษณ์ทรัพยากรทางวัฒนธรรมอยู่  

 

นี่คือสิ่งที่เขาเชื่อ เชิญมาทำความรู้จักตัวตนไต๋ และไอดอลทางการเมืองของเขาที่ชื่อ อนุทิน ชาญวีรกูล ได้ผ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้

 

 

สนใจสนามการเมืองตั้งแต่เมื่อไร

สมัยผมเด็กๆ มีน้าเป็น ส.จ. (สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด) ที่จังหวัดลพบุรี ได้ไปเดินตามท่าน ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นงานเกี่ยวกับการแข่งขันกีฬา และได้เจอ นายก อบจ. ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่ทำงานในพื้นที่ เราเห็นท่านได้รับความเคารพสูง มีบารมี ได้พัฒนาบ้านเกิดตัวเอง ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กด้วย เราก็รู้สึกว่าเท่ ก็เป็นจุดเริ่มต้น

 

ทำไมตัดสินใจมาลงสนามการเมืองตอนนี้

ด้วยความที่ผมก็อายุ 26 ปีแล้ว ซึ่งก็สามารถลงเล่นการเมือง ทำงานการเมืองได้ เป็น ส.ท. หรือ ส.จ. ก็ต้องอายุ 25 ปีขึ้นไป แล้วการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง 24 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นครั้งที่ผมสามารถลงมามีส่วนร่วมในฐานะผู้สมัครได้

 

ส่วนการที่มีสถานการณ์การเมืองคุกรุ่นอยู่ทุกวันนี้ ผมก็ไม่ได้เอามาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจเลย เพราะคิดแต่ว่า ในเมื่อเรามีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาประเทศได้ ก็อยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าได้

 

 

ปัญหาที่สนใจอยากเข้ามาแก้คืออะไร

หนึ่งเลยคืออยากพัฒนาบ้านเกิด อย่างที่เห็นผู้ใหญ่หลายท่านทำได้สำเร็จ อย่างที่ขอนแก่น, ภูเก็ต, บุรีรัมย์, สุพรรณบุรี, เชียงใหม่ คือเราเห็นผู้ใหญ่สามารถพัฒนาให้สำเร็จได้

 

สองคืออยากให้สังคมไทยมีความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงโอกาส เพราะหลายคนในประเทศนี้มีความสามารถ ศักยภาพ มีใจรักอยากจะทำอะไรต่างๆ แต่ถูกปิดกั้นไม่ให้เข้าถึงโอกาสในการทำสิ่งที่ตนเองอยากจะทำ

 

แต่สิบกว่าปีที่ผ่านมาบ้านเมืองวุ่นวายมาก มีการรัฐประหาร 2 หน ผบ.ทบ. คนปัจจุบันก็เพิ่งออกมาพูดเรื่องไม่รับประกันว่าจะเกิดรัฐประหารอีก คนรุ่นเรา หรือ New Voter คิดอย่างไรกับเรื่องตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

คำถามนี้ยากมาก เซนสิทีฟมาก แต่ผมขอตอบอย่างนี้ว่า ถ้าเรามองไปข้างหน้า ผมมีความเชื่อว่ามันจะดีขึ้นแน่นอน ปีหน้าจะมีเลือกตั้ง อดีตที่ผ่านมาไม่บอกว่าให้เราลืมมันไป แต่เราจำมันไว้ และทุกครั้งที่เราขัดแย้งกันให้พูดถึงสิ่งนี้ขึ้น แล้วไม่ให้ซ้ำรอยเดิม ไม่ให้เป็นอย่างนี้อีก

 

อีกอย่างคือ ถ้าเรามองในแง่พัฒนาการของประชาธิปไตยไทย อยากให้มองเป็นจุดตัดทุกๆ ช่วง 10 ปี แล้วจะเห็นว่ามันพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ แม้ในระหว่างช่วงเวลาใน 10 ปีนั้นๆ จะมีปัญหาเกิดขึ้น มีรัฐประหาร ซึ่งเป็น Negative Shock ถ้าเรามองไปข้างหน้า อย่างไรก็จะต้องทำให้มันดีขึ้น

 

 

แต่มีคนบอกว่ารัฐประหารคือการล็อกกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย จะทำให้การเลือกตั้งเป็นอุปสรรคหรือเปล่า มองว่าอย่างไร

รัฐประหารเป็นอุปสรรคของประชาธิปไตยไหม ถ้าเรามองประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง ที่ผ่านมา 4 ปีก่อน เราก็มีการรัฐประหาร มีรัฐบาลทหาร แต่เดี๋ยวมันก็มีการเลือกตั้งแล้วครับ

 

แล้วเป็นอุปสรรคไหม ก็อาจจะใช่ หรือไม่ ผมไม่อาจให้คำตอบชี้ขาดได้ แต่ถ้าถามว่าต่อจากนี้จะเป็นอุปสรรคไหม ผมมองว่าไม่แล้ว ที่ผ่านมาผมเชื่อว่าประเทศไทยเป็นคนคนหนึ่งที่ยืนบนทางแยก ไม่รู้จะไปไหน สำหรับผมแล้วไปทางไหนก็ได้ แต่อย่ายืนอยู่เฉยๆ การยืนอยู่เฉยๆ นานๆ มันไม่ได้ดีเสมอไป สุดท้ายแล้วการไปข้างหน้าสำคัญที่สุด

 

มองว่าสังคมไทยจะไปข้างหน้าแบบไหนจากการเลือกตั้งครั้งนี้

อย่างแรก มันผ่อนคลายความตึงเครียดที่เป็นอยู่วันนี้แน่นอน เชื่อว่ารัฐบาลก็ทราบดีว่ามีความตึงเครียด มีความเบื่อหน่ายของประชาชน แต่ว่าเรื่องความขัดแย้งจะยุติไหม มันไม่ใช่เรื่องที่คนคนเดียวจะตอบได้ เพราะมันเกิดจากหลายๆ กลุ่มคน หากกลุ่มคนเหล่านี้คุยกันได้ ความขัดแย้งจะลดน้อยลง แต่ความขัดแย้งไม่ได้หมายความว่าไม่มีความเห็นต่าง การเห็นต่างเป็นเรื่องธรรมดา แค่ต้องไม่มีการเพิ่มความเกลียดชังให้เกิดมากขึ้น

 

 

อยากเห็นผู้นำแบบไหนที่จะมาบริหารประเทศ

หนึ่งคือเข้าถึงคนได้ทุกชนชั้น ทุกเพศทุกวัย ทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งคนในประเทศ คนต่างประเทศ ความสามารถเหล่านี้จะทำให้ไม่เกิดความขัดแย้ง

 

แล้วทำไมถึงต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับต่างประเทศ ก็เพราะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยไทย เศรษฐกิจของไทยก็อยู่ภายใต้ Global Trend อีกทีหนึ่ง ถ้าเราไม่ตามกระแสโลก มันก็จะเหมือนการว่ายทวนกระแสน้ำ

 

สองคือต้องแบ่งรับแบ่งสู้ได้กับสถานการณ์ต่างๆ เพราะว่าประสบการณ์ของประเทศไทยที่ผ่านมาบอกแล้วว่า ทักษะในการประนีประนอมนั้นสำคัญ หากมีจุดยืนสุดโต่ง ผมเกรงว่าจะเกิดความแตกหักขึ้นอีกในอนาคต

 

ทำไมการลงสนามการเมืองครั้งนี้ต้องเป็นพรรคภูมิใจไทย

อนุทิน ชาญวีรกูล ครับ ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสามารถ มีคุณสมบัติผู้นำในอุดมคติ มีทักษะการประนีประนอมที่สูงมาก

 

ผมเชื่อเพราะท่านเคยผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาแล้ว ซึ่งบริษัทของท่านก็เป็น Factor ใหญ่อยู่พอสมควร ต้องผ่านอะไรเครียดๆ มาเยอะมาก ทูตชาติต่างๆ ทั้งฝั่งจีน ยุโรป ก็เข้าหาท่าน เชื่อว่าท่านได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติอยู่พอตัว

 

 

แล้วเข้ามาอยู่ภูมิใจไทยได้อย่างไร

ก็เพราะท่านอนุทิน คือท่านเคยมาบรรยายที่คณะเศรษฐศาสตร์ ห้อง 209 ผมจำได้เลย

 

ผมก็เข้าไปฟัง ตอนนั้นท่านได้พูดขึ้นมาว่า ใครก็ตามที่คิดจะทำเพื่อชาติบ้านเมือง ต้องยอมเสียสละ ถึงแม้จะได้รับเพียงก้อนอิฐก็ตาม ซึ่งมันก็เป็นแรงผลักดันให้ผมอยากเดินในเส้นทางนี้ แล้วผมก็เข้าไปขอคำชี้แนะจากท่านอดีต ส.ส. เม้ง-วัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ ซึ่งเป็น ส.ส. ภูมิใจไทย สระบุรี

 

คิดว่าการทำงานการเมืองของพรรคภูมิใจไทยเป็นอย่างไรบ้าง รับฟังคนรุ่นใหม่แค่ไหน

อาจด้วยผมยังเพิ่งเข้ามา เลยยังไม่มีประสบการณ์ได้เข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ในพรรคมากนัก ก็เคยได้สอบถามแนวนโยบายกับท่านศุภชัย ใจสมุทร แต่ถ้ามองว่าการที่ท่านอนุทินเปิดโอกาสให้ผมมาคุยกับสื่อ และให้ความสำคัญกับความคิดของผม นี่ก็เป็นเชิงสัญลักษณ์อย่างหนึ่งแล้วว่าท่านให้ความสำคัญกับคนรุ่นใหม่อย่างผม

 

 

เพื่อนๆ ว่าอย่างไรบ้าง จู่ๆ เห็นเราไปสมัครเข้าพรรค

ส่วนหนึ่งก็รู้อยู่แล้วครับ เพราะในวงกินข้าวสังสรรค์ เราก็พูดถึงว่าถ้าเป็นนายกฯ จะแก้นู่นแก้นี่อะไรอยู่แล้ว เพื่อนบางคนก็เอาปัญหาของตัวเองมาแชร์ให้ ผมก็รับฟังไปประมวล คือรู้อยู่แล้วว่าสนใจการเมือง ไม่แปลกใจมากนัก

 

คนรุ่นเราสนใจการเมืองกันเยอะไหม

น้อยกว่าที่ผมอยากให้เป็น มันถูกมองข้ามว่าเป็นความขัดแย้ง เป็นการสาดโคลน แต่คนลืมไปว่ามันเป็นเครื่องยนต์ เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนประเทศ

 

แล้วการที่แต่ละพรรคเปิดตัวคนรุ่นใหม่กันมากมาย ถ้าเทียบกับคนรุ่นใหม่ด้วยกัน คิดว่าแข่งกันไหวไหม

ผมไม่คิดไปแข่งกับใครครับ ดีด้วยซ้ำ ผมคิดว่ามีคนเก่งๆ เยอะๆ สิดี อยากทำงานร่วมกับเขา ผมไม่ขอเป็นคนที่เก่งที่สุด ขอเป็นคนที่รับรู้ความคิดจากคนที่เก่งกว่าเพื่อไปประยุกต์ใช้พัฒนาบ้านเมืองต่อ อยากเห็นสระบุรีเป็นเมืองอย่างที่ผมจินตนาการไว้

 

 

ประเมินตัวเองแล้วคิดว่าจะได้ไปนั่งในสภาไหมจากปัจจัยที่มีอยู่

ถ้าได้เอาตัวผม เอาหน้าผมไปให้ประชาชนในพื้นที่ที่ผมอาจได้ลงแข่งเลือกตั้ง ให้เขาได้รู้จักตัวตนของผมจริง หากไม่ถูกปิดกั้น ผมว่ามีโอกาสไม่น้อยไปกว่าคนอื่น

 

ทีนี้เราเรียนเศรษฐศาสตร์มา คิดว่ามันช่วยอะไรทางการเมืองได้

มันเลี่ยงไม่ได้ว่าประเทศคู่กับเศรษฐกิจการเมืองโดยหลักการ เป็นองค์กรที่ทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้ ในวันที่มันแย่มากๆ การเมืองต้องมาช่วย มาประคอง แล้วถ้าเศรษฐกิจดี ก็ต้องมาแก้ไขกฎหมายบางอย่างเพื่อที่จะให้เศรษฐกิจโตได้ ถ้าเป็นกราฟก็ Exponential ครับ โตได้เร็วขึ้นกว่าที่มันเป็นอยู่

 

แต่การเมืองอย่างหนึ่งเลยก็คือ มันเป็นเรื่องของตระกูลการเมือง ซึ่งมันก็มีคำครหาอยู่เยอะว่า คนที่เข้ามาก็ไม่หนีไปจากวงวานเดิม ไม่ใช่คนใหม่จริงๆ รู้สึกอย่างไร

ผมว่าต้องให้ทุกคนรู้จักผมมากขึ้น ต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะแน่นอน แล้วการที่เราต้นตระกูลก็ไม่ได้เล่นการเมืองมาก่อนก็ยิ่งหนักกว่าคนอื่นไปอีก

 

 

แต่ในจังหวัดสระบุรีก็มีนักการเมืองมีชื่อเสียงเยอะ คิดว่านอกจากแบรนด์ภูมิใจไทยแล้ว จะเอาอะไรไปสู้กับเขา

หนึ่งต้องยอมรับว่ามวลชนผมนี่เป็นศูนย์ เมื่อเทียบกับทุกคนในพื้นที่ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามวลชนสำคัญสำหรับการทำการเมืองในพื้นที่ แต่ว่าผมจะเอาอะไรไปสู้

 

ผมคิดว่าความเป็นตัวผม การเป็นตัวเลือกใหม่ๆ เผื่อว่าพี่น้องประชาชนในพื้นที่ คนที่ไม่เคยสนใจการเมือง ไม่คิดว่าการเมืองสำคัญ จะได้ออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงกัน คนที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง เชื่อว่าผมสามารถเป็นตัวแทนของความเปลี่ยนแปลงได้

 

 

อยากเปลี่ยนแปลงอะไรในสระบุรี

ถ้าเป็นสระบุรีในฝัน อยากเห็นความปลอดภัย ไม่ว่าจะทำงาน จะไปไหน มีความปลอดภัยเรื่องทรัพย์สินในชีวิต สอง เข้าถึงการบริการรักษาสุขภาพที่ดี สาม เรื่องการศึกษา สี่ มีความสุข

 

ผมอยากเห็นสระบุรีเป็นเมืองท่องเที่ยวมากกว่านี้ ผมเชื่อว่าการเป็นเมืองท่องเที่ยวจะขยับเศรษฐกิจขึ้นไปได้อีกระดับหนึ่ง เราก็ต้องกลับไปดูว่าเรามีทรัพยากรอะไรบ้าง คือเราเป็นเมืองอุตสาหกรรม แต่กลับกันเราก็มีอัตลักษณ์ มีวัฒนธรรม ที่เรานำเสนอให้ทั้งคนในชาติและคนต่างชาติได้ ยิ่งหัวหน้าพรรค ท่านอนุทินสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีกับต่างประเทศได้ ผมเชื่อว่านักท่องเที่ยวต่างชาติไหลเข้ามาแน่นอน

 

จากหลายคำถามและที่ตอบมาก่อนหน้า ทั้งเรื่องผู้นำ ทั้งเรื่องเหตุที่มาอยู่ภูมิใจไทย คิดว่าคุณอนุทินมีคุณสมบัติพอไหมสำหรับเป็นนายกรัฐมนตรี

พอแน่นอนครับ ผมว่าคุณสมบัติครบ

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X