อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ข้อมูลประเด็นการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารทหารไทยและธนาคารธนชาต โดยแจ้งว่าตั้งแต่ช่วงปีใหม่ 2562 เป็นต้นมา ยังไม่ได้พบผู้บริหารของทั้งสองธนาคารเพื่อหารือเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด จึงยังไม่เห็นตัวเลขใดๆ และตนเองไม่เคยยืนยันว่าการควบรวมจะจบภายในเดือนมกราคมนี้ ประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องของเอกชน ทางภาครัฐไม่สามารถกำหนดเรื่องกรอบเวลาได้
อภิศักดิ์ชี้ว่ากระทรวงการคลังเป็นทั้งผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของธนาคารทหารไทยที่ 25.92% และผู้กำกับดูแลต้องการให้เกิดการรวมกันของธนาคารพาณิชย์เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ภาคการเงิน จึงได้มีมาตรการด้านภาษีมาสนับสนุน สิ่งที่เป็นโจทย์สำคัญคือผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์หรือไม่ ถ้าเกิดการควบรวมแล้วผู้ถือหุ้นควรจะได้ประโยชน์มากขึ้น แต่ถ้าควบรวมแล้วเราแย่ลงก็ไม่สมควรจะทำ หากเกิดกรณีที่กระทรวงการคลังต้องใส่เงินเพิ่มทุนจากการควบรวมเข้าไปก็จะต้องพิจารณาว่าได้ประโยชน์อย่างไรเช่นกัน ตัวชี้วัดที่ชัดเจนคือมูลค่าของหุ้นหลังจากจบดีลแล้วนั่นเอง
มีนักวิเคราะห์ประเมินว่าหากเกิดการควบรวมขึ้นจริง ธุรกรรมที่เกิดขึ้นและมูลค่าหุ้นของธนาคารไทยที่กระทรวงการคลังถืออยู่จะต้องไม่ต่ำกว่า 3.86 บาทต่อหุ้น ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับราคาที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่ 2.22 บาทต่อหุ้นในปัจจุบัน (31 ม.ค.) เรื่องนี้จึงตกลงไม่ง่ายนัก และคงต้องคำนวณและหาทางเลือกที่เหมาะสมอีกหลายตลบ
โจทย์ที่สำคัญของดีลนี้คือควรจัดการให้เสร็จในปี 2562 นี้เพื่อให้ทันรับสิทธิ์การยกเว้นภาษีการควบรวมกิจการ หากเกิดขึ้นน่าจะใช้เวลาควบรวมและปรับโครงสร้างมากกว่า 1 ปี ธนาคารทหารไทยจะสามารถนำสินเชื่อเช่าซื้อที่เป็นจุดขายสำคัญของธนาคารธนชาตมาต่อยอดธุรกิจได้ และจะทำให้ฐานะการเงินแข็งแกร่งเป็นธนาคารพาณิชย์อันดับที่ 6 ของประเทศไทย มีสินทรัพย์ที่จะเพิ่มเป็น 1.87 ล้านล้านบาท
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์