วันนี้ (14 พฤษภาคม) แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกระแสข่าวกรณีที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ไปพูดคุยกับตัวแทน กลุ่มชาติพันธุ์ หลังเกิดปัญหาในเมียนมา ในฐานะลูกสาวมองเรื่องนี้ว่าทักษิณเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีความห่วงใยบ้านเมืองอยู่เสมอ แม้ว่าจะไปอยู่ที่ต่างประเทศเป็นเวลา 17 ปี แต่ก็ยังมีความเป็นห่วงพี่น้องคนไทย อะไรที่ช่วยได้ก็ต้องช่วย ซึ่งเชื่อว่าคนไทยทุกคนก็คิดแบบนี้เช่นกันว่าถ้ามีสิทธิ์ช่วยได้ก็จะช่วย คนละไม้คนละมือ
แพทองธารกล่าวต่อว่า ทักษิณตั้งแต่สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านมาโดยตลอด ซึ่งประเทศไทยก็มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมากว่า 2,000 กิโลเมตร เพราะฉะนั้นก็อยากให้เกิดความสันติ ซึ่งปัจจุบันทักษิณไม่ได้มีตำแหน่งอะไร แต่สมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้มีการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งก็มีโอกาสที่ได้รู้จักทั้งกลุ่มชาติพันธุ์และชนกลุ่มน้อย รวมไปถึงทหารของประเทศเมียนมา
จึงยังมีความสัมพันธ์ต่อกันอยู่ ซึ่งก็เป็นความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ได้สร้างไว้ เพราะฉะนั้นด้วยความเป็นห่วงประเทศ ถ้ามีการได้พูดคุยอะไร เป็นเพียงเพราะอยากมีส่วนร่วมในการช่วยประเทศไทยเท่านั้น ส่วนจะประสบผลสัมฤทธิ์มากน้อยแค่ไหนนั้นตนเองยังไม่ทราบรายละเอียด เพราะยังไม่ได้พูดคุยกับทักษิณ
แจงวิจารณ์แบงก์ชาติเพื่อให้มีเป้าหมายร่วมกันกับรัฐบาล
แพทองธารยังตอบคำถามถึงกรณีปาฐกถาวิพากษ์วิจารณ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในงาน ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10’ ที่พรรคเพื่อไทยว่า จริงๆ มีวัตถุประสงค์อยากให้รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยมีเป้าหมายร่วมกันคือประชาชน หากมีเป้าหมายร่วมกันจะสามารถทำงานจนทะลุเป้าหมายได้ ซึ่งความเดือดร้อนของประชาชนรวมถึงความเป็นอยู่ต้องเป็นเป้าหมายร่วมกัน
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดยตนเองก็เป็นส่วนหนึ่งของพรรค ก็ต้องการให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ส่วนการปาฐกถาในเวทีใหญ่มีพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เช่นเรื่องสังคม เหตุการณ์ปัจจุบัน มีการเตรียมการก่อนอยู่แล้ว และตนก็ต้องเตรียมคำตอบให้กับสื่อมวลชนเมื่อถูกถาม และการพูดครั้งนั้นตนมองว่าเป็นการพูดเพื่อสนับสนุนการผลักดันนโยบายของรัฐบาล และตนมองว่าหากจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งรัฐบาลและตนเอง ซึ่งก็สามารถถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ตลอดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เป็นเรื่องปกติ
ภายหลังสัมภาษณ์เสร็จ แพทองธารแซวผู้สื่อข่าวว่าวันนี้จะเดินช้าๆ เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดว่าวิ่งหนีนักข่าว ซึ่งวันนั้นนักข่าวก็รู้ว่าตนรีบเพราะมีงานต่อ ตนต้องรีบเดิน และผู้สื่อข่าวก็เดินตามมา ซึ่งที่ผ่านมาตนไม่เคยหนีนักข่าวเลย พร้อมกับย้อนถามกลับว่า “หนีได้เหรอ”