วันนี้ (23 สิงหาคม) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท. โสภณรัชต์ สิงหจารุ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ กล่าวถึงกรณีที่กรมราชทัณฑ์ได้เคลื่อนย้ายตัว ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ารักษาตัวด่วนกลางดึกที่ผ่านมาที่โรงพยาบาลตำรวจ
พล.ต.ท. โสภณรัชต์กล่าวว่า กรณีดังกล่าวตำรวจไม่ได้รับการประสานล่วงหน้า เมื่อวานนี้ (22 สิงหาคม) ทักษิณต้องเข้ารับการรักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แต่ด้วยเกิดอาการแน่นหน้าอกกะทันหัน ค่าออกซิเจนต่ำ และค่าความดันโลหิตสูงมาก ทีมแพทย์ราชทัณฑ์พยายามรักษาระดับความดันที่สูงแล้วแต่ทำได้ไม่มาก จึงลงความเห็นให้ส่งตัวด่วนมาที่โรงพยาบาลตำรวจในช่วงกลางดึกที่ผ่านมา
พล.ต.ท. โสภณรัชต์กล่าวต่อว่า ความจริงทีมแพทย์ราชทัณฑ์มีความสามารถมาก แต่ด้วยอาการป่วยของทักษิณต้องการแพทย์เฉพาะทางดูแล ประกอบกับเครื่องมือที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์มีจำกัด จึงต้องตัดสินใจย้ายตัว โดยก่อนหน้านี้กรมราชทัณฑ์กับโรงพยาบาลตำรวจมีการทำข้อบันทึกร่วมกันมากว่า 30 ปี ในการส่งตัวผู้ป่วยที่มีอาการหนักมารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจอยู่แล้ว
ทักษิณถูกนำตัวมาที่โรงพยาบาลตำรวจด้วยรถราชทัณฑ์ เนื่องจากมีความดันโลหิตสูงถึง 170 มิลลิเมตรปรอท และนำตัวไปรักษาที่ชั้น 14 ทันที ซึ่งเดิมชั้นดังกล่าวใช้เป็นพื้นที่กักตัวผู้ป่วยโควิด ปัจจุบันเครื่องปรับอากาศชั้นนั้นใช้งานไม่ได้ ต้องใช้พัดลม 2 ตัวระบายอากาศแทน และห้องพักของทักษิณไม่ได้อยู่ฝั่งที่มองเห็นทัศนียภาพภายนอก เนื่องจากฝั่งดังกล่าวติดกระจก มีอากาศร้อน
พล.ต.ท. โสภณรัชต์กล่าวว่า ขณะนี้แพทย์ได้ทำการรักษาด้วยการให้น้ำเกลือ พร้อมระดมทีมแพทย์ตั้งเป็นคณะรักษารวม 6 ท่าน มีหมอเชี่ยวชาญด้านหัวใจ ปอด และโควิด อยู่ในทีมดังกล่าว ทั้งนี้ ทักษิณไม่ได้ใส่เครื่องพันธนาการ เนื่องจากตามกฎหมายผู้ป่วยต้องโทษที่มีอายุน้อยกว่า 16 ปี หรือมากกว่า 70 ปีขึ้นไป ไม่ต้องใส่เครื่องพันธนาการ เพราะจะทำให้การรักษาเกิดความยุ่งยาก
พล.ต.ท. โสภณรัชต์กล่าวต่อว่า ทีมแพทย์กำลังอยู่ในขั้นตอนนำประวัติการรักษาของทักษิณที่ต่างประเทศมาศึกษา แต่รายละเอียดส่วนนี้แพทย์ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่บอกได้ว่าอาการป่วยของทักษิณถูกรักษามาอย่างต่อเนื่อง
พร้อมยืนยันว่าการรักษาผู้ป่วยสูงอายุไม่ได้มีการเลือกปฏิบัติตามกระแสสังคม เพราะก่อนหน้านี้ผู้ต้องขังที่เป็นผู้สูงอายุรายอื่นก็มีการส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจเช่นกัน
ทั้งนี้ การดูแลความปลอดภัยระหว่างรักษา ได้มีเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์คอยดูแล 3 คน แต่ในพื้นที่ของโรงพยาบาลเป็นส่วนของสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ปทุมวัน เจ้าของพื้นที่ดูแลความปลอดภัย ส่วนจะรักษาอาการนานเท่าใดยังไม่สามารถตอบได้ ทีมแพทย์จะเป็นผู้ประเมินต่อไป
พล.ต.ท. โสภณรัชต์กล่าวว่า อาการล่าสุดของทักษิณเมื่อช่วงเช้าจากการสอบถามทีมแพทย์ที่รักษา ทักษิณมีอาการดีขึ้นเล็กน้อยกว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่ยังใส่สายออกซิเจน ความดันยังสูงอยู่ สามารถสื่อสารได้แต่ยังมีอาการเหนื่อยหอบ แพทย์ต้องเฝ้าระวังโดยสั่งงดเยี่ยมทุกกรณี ส่วนกรณีถ้าญาติต้องการย้ายตัวไปโรงพยาบาลเอกชนจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของกรมราชทัณฑ์
ตนขอยืนยันว่าอาการของทักษิณถือว่าค่อนข้างหนัก ไม่สามารถเดินทางไป-กลับระหว่างโรงพยาบาลราชทัณฑ์กับโรงพยาบาลตำรวจได้ และยังต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาและตรวจโรคอีกหลายอย่างที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจและระบบหัวใจ ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ของทักษิณ
ส่วนกรณีที่สังคมตั้งข้อสังเกตว่าทักษิณดูมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงเมื่ออยู่ต่างประเทศ แต่เมื่อกลับประเทศไทยกับล้มป่วยและมีโรคหลายโรคกะทันหันนั้น พล.ต.ท. โสภณรัชต์กล่าวว่า ต้องเรียนตามตรงว่าแม้แต่ตนเองที่ดูสุขภาพแข็งแรงแต่ก็ป่วยมีอาการไอ เป็นหอบได้เหมือนกัน