การเดินทางกลับประเทศไทยของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ถูกมองว่าเป็นการปิดฉาก ‘วิบากกรรม’ ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 15 ปี แต่ในความเป็นจริงกลับกลายเป็นการเปิดฉากความซับซ้อนทางกฎหมายชุดใหม่ที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ ทั้งยังส่งผลกระทบเชิงลึกซึ้งต่อภาพลักษณ์และคะแนนนิยมของ พรรคเพื่อไทย ที่มีตระกูลชินวัตรเป็นศูนย์กลาง
3 คดีชนวนเหตุ: โทษลดลงแต่ความเสี่ยงเพิ่ม
1. คดีภาษีหุ้นชินคอร์ป 1.76 หมื่นล้านบาท: ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษากลับให้ทักษิณต้องชำระภาษี จากการขายหุ้นชินคอร์ปเป็นจำนวนกว่า 1.76 หมื่นล้านบาท เพื่อเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งก่อนหน้านี้ทักษิณเคยชนะคดีในศาลชั้นต้นมาแล้ว
การต้องรับผิดชอบทางแพ่งจำนวนมหาศาลนี้ตอกย้ำถึงประเด็นทางกฎหมายที่ยังคงตามหลอนตระกูลชินวัตร นอกจากนี้ ยังเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงพรรคเพื่อไทยในช่วงที่กำลังใกล้เข้าสู่การเลือกตั้งปี 2569 ซึ่งขณะนี้กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการพิจารณาคำพิพากษาเพื่อให้ทักษิณจ่ายภาษี พร้อมเบี้ยปรับ
2. ความเสี่ยงจาก ม.112 ที่ยังไม่จบ: แม้ในชั้นต้นจะมีมติไม่ยื่นอุทธรณ์ แต่การที่อัยการสูงสุดตัดสินใจยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 อีกครั้ง ถือเป็น ‘ดาบที่สอง’ ที่ตอกย้ำความไม่แน่นอนทางกฎหมาย
3. มลทินชั้น 14: กรณีศาลฎีกาฯ มีคำสั่งบังคับโทษจำคุก จากการเข้าพักรักษาตัวระหว่างจำคุกของทักษิณ ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ พร้อมระบุในคำพิพากษาว่าการรักษาตัวที่โรงพยาบาลของทักษิณ ‘ไม่ได้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน’ และมีการตัดสินใจในกระบวนการรักษาที่ทำให้ตนเองได้ประโยชน์
ขณะนี้ ทักษิณยังอยู่ระหว่างการรับโทษจำคุก เป็นเวลา 1 ปี ตามคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และจะมีสิทธิได้รับการพักการลงโทษเป็นกรณีพิเศษตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ เมื่อรับโทษครบ 1 ใน 3 แต่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งจะตรงกับวันที่ 8 มีนาคม 2569
หรือประมาณ 3 สัปดาห์ ก่อนถึงวันเลือกตั้งทั่วไป คือ วันที่ 29 มีนาคม 2569 ตามที่รัฐบาลคาดการณ์ หากอัยการสูงสุดตัดสินใจยื่นคดีมาตรา 112 ก็อาจทำให้ ‘ทักษิณ’ ไม่สามารถยื่นเรื่องขอพักโทษได้ เพราะถือว่ามี ‘คดีต่อ’ ทำให้หมดโอกาสช่วยพรรคเพื่อไทยในศึกเลือกตั้งต้นปี 2569 และต้องรับโทษจนครบ 1 ปี
กรณีคดีชั้น 14 ยังทำให้ล่าสุดมีการปรับปรุงระเบียบ หลักเกณฑ์ แนวทางของกรมราชทัณฑ์ให้เกิดความชัดเจน เพื่อป้องกันเหตุซ้ำรอย ขณะเดียวกันในส่วนของคดีที่อยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในการไต่สวนเจ้าหน้าที่รัฐและแพทย์ รวม 12 ราย ก็ยังสามารถเดินหน้าต่อได้
หาก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่รัฐตาม มาตรา 157 ทักษิณอาจถูกดำเนินคดีในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำผิด (มาตรา 86) และต้องรับโทษจำคุกอีกอย่างน้อย 1 ปี
ครอบครัวพร้อมสู้ เดินหน้าเรียกร้องความยุติธรรม
พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ บุตรสาวคนกลางของทักษิณ ยืนยันว่า จะเดินหน้าสู้คดีต่อไปเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม และยอมรับว่า คำสั่งอุทธรณ์นี้เป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจของครอบครัวพอสมควร เนื่องจากทักษิณได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว แต่ยังคงถูกคำสั่งอุทธรณ์กลับมา
“คุณพ่อก็เสียใจจริงๆ ท่านรู้สึกเจ็บช้ำ” พินทองทากล่าว
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ระบุว่า นี่คือ ‘แผนสกัด’ ไม่ให้ทักษิณออกจากคุกก่อนเลือกตั้ง ต้องตีตั๋วอยู่ยาวชนป้ายครบ 1 ปี
ขณะที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุถึงคำสั่งให้แก้ระเบียบการพักโทษผู้ต้องหานอกเรือนจำว่า วันนี้สิ่งที่ทำได้ไม่ใช่การไปแก้แค้น หรือโดนอะไรมาก็ทำอย่างเดิมกลับไป มีแต่จะเข้ามาแล้วทำให้เกิดความถูกต้อง กลไกการใช้กฎหมายต้องเป็นไปตามกฎหมายจริงๆ ไม่ใช่เป็นไปตามคำสั่งของผู้มีอำนาจ หรือผู้ที่มีบารมี
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยมองว่าเป็นนัยทางการเมือง อนุทินปฏิเสธว่า “ไม่มี เพราะผมไม่เหมือนเขา ทำตามเนื้อผ้า และกฎหมายทุกอย่าง ต้องไม่เอาสิ่งที่ตัวเองชอบทำแล้วไปเที่ยวป้ายว่าคนอื่นต้องทำเหมือนตัวเอง ไม่ได้หรอก หลายครั้งแล้ว”
อนุทินยังปฏิเสธถึงความแตกต่างในกรณีที่มีทักษิณออกมาช่วยหาเสียง พร้อมย้ำว่า คนอื่นคิดอย่างไรไม่รู้ แต่พวกตนเอาสิ่งที่มีอยู่ ศักยภาพ และสิ่งต่างๆ ไปทำให้ประชาชนมั่นใจ โดยไม่เคยไปหาเสียงด้วยการด่าหรือด้อยค่าคู่แข่ง ไม่ต้องกังวลพรรคภูมิใจไทยไม่ทำเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
แรงสั่นสะเทือนสู่ ‘เพื่อไทย’
ในสมรภูมิเลือกตั้ง 2569 นี้ แม้พรรคเพื่อไทยจะปรับทัพเตรียมพร้อมรบ โดยวางตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่ หนิม-จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส. เชียงใหม่ 5 สมัย และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ขึ้นมานำพรรค แทน แพทองธาร ชินวัตร และจุลพันธ์ก็ย้ำว่า ไม่อยากให้ประเด็นของทักษิณมาเป็นประเด็นทางการเมือง
แต่ก็ยอมรับว่า “พรรคเพื่อไทยมีความสนิทสนม และมีหัวใจที่เชื่อมต่อกับครอบครัวชินวัตร จึงมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจ และรู้อยู่เต็มอกว่ากระบวนการเริ่มจากการรัฐประหาร มีการรื้อฟื้นคดีในสมัยรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เชื่อว่าทักษิณและครอบครัวยังมีกำลังใจดี ก็คงหาช่องทางในการต่อสู้คดีต่อไป”
แม้ ‘ทักษิณ’ จะไม่มีตำแหน่งในพรรคเพื่อไทย แต่ความเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ย่อมกระทบต่อความเชื่อมั่นของ สส. ที่อยู่ในพรรค ซึ่งปัจจุบันยังคงเลือดไหลออกไม่หยุด จากการย้ายพรรคและถูกดึงตัว สส. ในหลายพื้นที่
ท่ามกลางความท้าทายจากผลสำรวจคะแนนนิยมที่ลดลง และการหายไปเพื่อรับโทษของ ‘ทักษิณ’ พรรคเพื่อไทยต้องปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ และพิสูจน์ตนเองเพื่อรักษามวลชน ฟื้นความนิยมกลับมาในการเลือกตั้งครั้งหน้าให้ได้


