×

ทักษิณอัดประยุทธ์ ‘เป็นนักใช้งบประมาณมากกว่าเป็นนักหารายได้’ เสนอตัวเจรจา ‘ปูติน’ หาวัคซีนเพิ่ม

21.04.2021
  • LOADING...
ทักษิณอัดประยุทธ์ ‘เป็นนักใช้งบประมาณมากกว่าเป็นนักหารายได้’ เสนอตัวเจรจา ‘ปูติน’ หาวัคซีนเพิ่ม

เมื่อวานนี้ (20 เมษายน) กลุ่ม CARE คิด เคลื่อน ไทย จัดงานแลกเปลี่ยนในหัวข้อ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 กับ Tony Woodsome ผ่านแอปพลิเคชัน Clubhouse โดยมี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมพูดคุยกับประเด็นการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการกระจายของวัคซีนต่างๆ

 

โดย ทักษิณ หรือชื่อที่ใช้ในแอปพลิเคชัน Clubhouse ว่า Tony Woodsome กล่าวว่า ตอนนี้ที่ดูไบยังมีการพบผู้ติดเชื้ออยู่ แต่เปิดเศรษฐกิจตามปกติแล้ว ทั้งยังมีการฉีดวัคซีนซึ่งมีหลากหลายยี่ห้อไปแล้ว 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ และเปิดให้นักท่องเที่ยวฉีดฟรีด้วย การที่เศรษฐกิจเดินต่อไปได้ตามปกตินั้น ทำให้ประชาชนผ่อนคลายและไม่ตึงเครียดมาก หากมีการติดเชื้อ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จะแนะนำให้อยู่บ้านแล้วแยกตัวไว้ ตนมีรุ่นน้องที่ติดโควิด-9 ต้องกักตัวอยู่บ้าน และโทรศัพท์มาขอคำปรึกษาตนในฐานะรุ่นพี่ที่ติดมาแล้ว ก็ได้เแนะนำให้กินวิตามินซีกับอาหารที่มีโปรตีนสูง ขณะที่คนที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ก็ควรเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ที่ต่างประเทศนั้นมีการตรวจ PCR

 

“บ้านเราต้องเลิกใช้กฎหมายนำ แต่ใช้ความรู้นำดีกว่า เพราะการใช้กฎหมายจะทำให้คนไม่ใส่ใจ ตัวผู้ปฏิบัติเองก็เครียด ประชาชนก็เครียด ดังนั้นจึงต้องเร่งให้ความรู้ผู้คน ต้องทำให้ประชาชนเข้าใจว่าไวรัสนั้นเหมือนกันทุกตัว แค่ว่าตัวนี้เมื่อมันเข้าไปยังเซลล์ของเราแล้วจะกินกล้ามเนื้อ ตอนที่ผมเป็นก็น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อหายหมด” ทักษิณ กล่าว 

 

ทั้งยังแนะนำ DNA Nudge อุปกรณ์ทดสอบโควิด-19 ที่รู้ผลใน 90 นาที และให้ผลแม่นยำ 99.9 เปอร์เซ็นต์ เพราะการตรวจโรคระบาดนั้นต้องเน้นความแม่นยำเป็นหลัก อย่าไปเน้นราคาถูก ไม่เช่นนั้นจะเกิดความผิดพลาดได้เยอะ โดยอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นอุปกรณ์ที่ไม่ต้องอาศัยบุคลากรทางการแพทย์ และยังตรวจได้ครั้งละถึง 50 คน ซึ่งทำให้เกิดความสะดวกขึ้นมาก เช่น ร้านอาหารสามารถตรวจพนักงานรายวันแล้วยืนยันให้ลูกค้าเห็นว่าร้านนี้ปลอดโควิด-19 ทั้งนี้ทักษิณระบุว่า ระบบสาธารณสุขในไทยนั้น การกระจายเงินและความรับผิดชอบคือสิ่งสำคัญที่สุด วันนี้เรารวมศูนย์หมดทุกอย่าง ทำให้ทุกอย่างล่าช้าไปหมด ถ้ากระจายการบริการทางการแพทย์ไปสู่โรงพยาบาลต่างๆ เชื่อว่าจะเอาอยู่อย่างแน่นอน

 

สำหรับเรื่องวัคซีนนั้น แม้รัฐจะกล่าวว่าการจัดหาวัคซีนเป็นไปตามแผนทั้งหมด ทักษิณถามว่า ใครเขียนแผน เมืองที่ตนอยู่นั้นมีวัคซีนทุกยี่ห้อ ทุกรุ่น และให้ฟรี คำถามคือ ทำไมเราจึงไม่สั่ง ทำไมต้องจำกัดเพียงสองยี่ห้อ หากรู้จริงก็คงเข้าใจว่าวัคซีน AstraZeneca นั้นมีผลข้างเคียงเยอะกว่า ที่มีปัญหาน้อยสุดคือวัคซีน Pfizer และ Moderna เรามีวัคซีนเพื่อไปกระตุ้นภูมิของร่างกาย ถ้ามีผลข้างเคียงก็ต้องคำนึงถึงอันตรายว่าเหมาะหรือไม่เหมาะกับคนประเภทใด ส่วนตัวเป็นผู้สูงอายุ จึงต้องกังวลเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งระยะยาวและระยะสั้น ดังนั้นประชาชนควรมีสิทธิ์เลือกวัคซีน รัฐบาลต้องเปิดวัคซีนเสรีให้โรงพยาบาลเอกชนสั่งมาได้เลย 

 

“ถ้าคิดเสียว่าตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของ 30 บาทรักษาทุกโรคได้ไหม ถ้าเขาป่วยเราก็ต้องรักษา รัฐบาลจะเรียกโครงการนี้อย่างไรก็ช่าง เมื่อรัฐบาลรับกินรับใช้กับการประกันสุขภาพประชาชน ทำไมไม่เอาวัคซีนดีๆ และจำนวนเยอะๆ มาให้ งบประมาณที่กู้มาก็เอามาแจกแล้วไม่ได้ผลทางเศรษฐกิจ บรรเทาไปได้ 2-3 มื้อ ไม่ได้บรรเทาทั้งหมด อยากให้คิดองค์รวมของการแก้ปัญหาด้วย” ทักษิณ กล่าว

 

ระหว่างการเสวนา มีผู้ตั้งคำถามว่า ผู้ประกอบกิจการท่องเที่ยวควรปรับตัวและรับมืออย่างไร ทักษิณตอบว่า ต้องถามรัฐบาลก่อนว่ารายได้หลักที่เสริม GDP ของเรามาจากท่องเที่ยวถึง 10 เปอร์เซ็นต์ และตอนนี้เรากำลังให้ที่อื่นแย่งลูกค้าเราไป เช่น มัลดีฟส์ที่เปิดฉีดวัคซีนฟรี เพราะอย่างน้อยนักท่องเที่ยวอาจต้องอยู่ 21 วัน เพื่อฉีดวัคซีนสองเข็ม ก็จะเกิดการใช้จ่ายมหาศาล ทุกคนกำลังดึงการท่องเที่ยว เพราะเมื่อโควิด-19 ซา คนจะเที่ยวกันอย่างมากเพราะอั้นไว้นาน ประเทศไทยควรจะออกกติกาให้ใครที่ฉีดวัคซีนแล้ว ตรวจร่างกายแล้ว ก็ปล่อยได้ เพราะอัตราเสี่ยงต่ำมาก อยากย้ำว่าโลกนี้ไม่มีอะไรไม่เสี่ยง แต่ว่าเสี่ยงต่ำมาก จากนั้นเศรษฐกิจจะได้เดิน ขาประจำท่องเที่ยวประเทศไทยจะไม่เปลี่ยนใจไปที่อื่น โดยเฉพาะเมืองที่เป็นเกาะยิ่งตรวจร่างกายนักท่องเที่ยวง่าย

 

นพ.เรวัต วิศรุตเวช อดีตอธิบดีกรมการแพทย์กล่าวในการสนทนาว่า ตนเป็นหนึ่งในคนที่เคยผ่านช่วงวิกฤตโรคระบาด เช่น ไข้หวัดนก มาแล้ว โดยไม่ต้องมีฝ่ายความมั่นคงเข้ามาแทรกแซงระบบของสาธารณสุขเลย วันนี้ในฐานะที่เป็นหมอคนหนึ่ง เป็นห่วงสถานการณ์ของประเทศไทยอย่างมาก เพราะมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้นเรื่อยๆ ตนมองว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ 20 เปอร์เซ็นต์คือผู้มีอาการที่ต้องเข้าโรงพยาบาล ถ้าจำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้นเรื่อยๆ โรงพยาบาลอาจรองรับไม่ไหว ตอนนี้โรงพยาบาลทุกแห่งเต็มหมดแล้ว ฉะนั้นจำเป็นต้องไปเปิดโรงพยาบาลสนาม ตนจึงเห็นว่าคำตอบที่ตอบโจทย์จริงๆ คือวัคซีน 

 

โดยทักษิณแลกเปลี่ยนว่า ประเด็นของวัคซีนนั้น เราสามารถไปพ่วงกับหลายๆ ประเทศที่เขามีได้ เนื่องจากนักธุรกิจไทยหลายคนมีคอนเน็กชันและมีความสามารถในการเจรจาอยู่แล้ว เช่น ธนินท์ เจียรวนนท์ ไปคุยกับรัฐบาลจีนได้ หรือไม่เพราะฝั่งนั้นมีกำลังการผลิตเยอะ ที่ตะวันออกกลางก็ใช้ หรือ Pfizer สามารถไปบอก เจริญ สิริวัฒนภักดี ได้ไหม ว่าให้สิงคโปร์สั่ง Pfizer มาเผื่อได้หรือไม่ หรือ สารัชถ์ รัตนาวะดี จากด้านพลังงานก็ไปคุยกับฝั่งตะวันออกกลางได้ 

 

“ภาคเอกชนเขากว้างขวาง จะให้ผมไปคุยกับท่านปูตินเพื่อเอาสปุตนิกมาไหม บอกมา เราช่วยกันได้ แต่รัฐบาลเองต้องตื่นตัวมากกว่านี้ และเมื่อได้มาแล้วต้องรีบกระจายการฉีด ไม่ใช่กระจุกที่เดียว โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกับร้านอาหารที่ต้องฉีดก่อน จะได้ให้บริการอย่างปลอดภัยได้” ทักษิณ กล่าว 

 

ก่อนจะเสริมว่า หากตนบริหารประเทศ หากเราตื่นตัวและสั่งซื้อเร็วกว่านี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม COVAX ด้วยซ้ำไป วันนี้เรามองย้อนหลังไปแล้วเสียดายว่าทำไมไม่เข้าร่วม นั่นเพราะเราไม่ตื่นตัว ไม่วางแผนล่วงหน้า ไม่เชื่อในวัคซีนแต่ต้น สังเกตดูจากที่โฆษก ศบค. พูดตั้งแต่ต้นๆ เขาไม่ได้พูดถึงวัคซีนเลย ดังนั้นเมื่อไม่เชื่อในวัคซีนตั้งแต่ต้น เขาจึงไม่ได้สั่งเพราะกลัวเสียเงินเปล่า ซึ่งอันที่จริงการเอาเงินไปแจกนั้นเสียมากกว่าอีก การซื้อสุขภาพให้ประชาชนนั้นสำคัญกว่ามาก อย่างน้อยก็น่าจะซื้อวัคซีนกันเหนียวไว้ ประเทศอาจจะได้เดินไปมากกว่านี้ ที่สำคัญคือรัฐบาลไม่เคยเข้าใจความเสี่ยงใดๆ เลย

 

“นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันเป็นข้าราชการมาทั้งชีวิต และเป็นข้าราชการทหาร อยู่กับเรื่องระเบียบวินัย เรื่องการสั่งการเป็นส่วนใหญ่ เป็นนักใช้งบประมาณมากกว่าเป็นนักหารายได้เพื่อมาอุดหนุนงบประมาณ เขาจึงไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ เมื่อไม่เข้าใจจึงต้องหาทีมงานที่เข้าใจเรื่องนี้มาพูดให้เขาฟัง แล้วให้เขาไปสั่งการอีกที เพราะเอาทหารมาทำเรื่องเศรษฐกิจนั้นไม่ได้หรอก อย่างไรก็ไม่ได้ หากไม่มีทีมเศรษฐกิจที่เชื่อใจได้ก็ไปไหนไม่ได้เลย แล้วยิ่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเองด้วย เท่ากันกับคุณประวิตรแจกขันเลย” ทักษิณกล่าว ก่อนจะเสริมว่า รัฐประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแต่คุณไม่ยอมฉุกเฉินในการรักษาเลย มัวแต่ไปฉุกเฉินเรื่องอะไรก็ไม่รู้

 

สำหรับประเด็นผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนที่ทำให้เกิดภาวะอัมพฤกษ์นั้น ทักษิณกล่าวว่า ต้องรีบสอบสวนว่าเกิดอะไรขึ้น หากเป็นเพราะวัคซีนต้องหยุดทันที แล้วรีบแก้ไข ถ้าเป็นผลกระทบเฉพาะล็อตก็ต้องแจ้งประชาชนว่าเป็นแค่ล็อตนั้น ไม่ได้เป็นทุกล็อต ดังนั้นรัฐต้องยอมรับความจริง หากโกหกไปวันๆ คนก็ไม่เชื่อถือ สิ่งที่รัฐต้องทำคือดำเนินเรื่องการฉีดวัคซีนอย่างเร่งด่วนที่สุด เพราะจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้และทำให้ประชาชนรอด รัฐมีสองแสนกว่าล้านบาทนั้นถือว่าเหลือเฟือในการใช้เรื่องการแพทย์ ทั้งวัคซีนและการปูพรมตรวจต่างๆ อย่างไรก็ไม่มีทางถึงแสนล้าน ที่เหลือก็มาช่วยเหลืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจภาคส่วนต่างๆ

 

“ประเทศเราบริหารอย่างเป็นเผด็จการมากกว่าประชาธิปไตย เสรีภาพของประเทศไม่ดีเลย ฉะนั้นเรื่องการบริหารจัดการก็ไม่มีการกระจายอำนาจไปสู่ประชาชนเลย ทุกอย่างจึงรวมศูนย์อยู่ที่นายกฯ นายกฯ กลายเป็นผู้วิเศษ รู้ทุกเรื่อง ทำได้ทุกเรื่อง ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วหากมีการรวมศูนย์เช่นนี้ ถ้ามีการกระจายอำนาจไปยังภูมิภาค เท่านี้ทุกอย่างก็จะดีกว่านี้เยอะ แต่ตอนนี้หากมีการใช้รัฐธรรมนูญที่ผดุงเผด็จการไปนานๆ ประเทศจะลำบาก” ทักษิณกล่าวปิดท้าย

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X